Animated Dragonica Star Glove Pointer

ความหลังใต้หลังคา





“วันนี้โลกมันเศร้า หรือว่าเราไร้คนทักทายกันนะ” นี่คือประโยคแรกของวันที่ผมบอกตัวเอง

เมื่อเปลือกตาเปิดออก แสงสว่างเดินทางเข้ามาให้รับรู้ว่านี่คือยามบ่ายของวัน    หลังจากอาการงัวเงียหายไป ผมก็สัมผัสได้ถึงอากาศอันร้อนอบอ้าวทันที ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ มันเงียบสนิทไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากสองวันที่แล้ว...ในฟังก์ชันของการบันทึกเบอร์โทรเข้าออกล่าสุดปรากฎเบอร์ของบริษัทมือถือที่เขาโทรมาทวงหนี้ที่ผมค้างชำระอยู่

ไม่กี่นาทีความเหงาเข้ามาทักทายและแทนที่ความง่วง เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆห้องเช่าขนาดหนึ่งชีวิตใช้หายใจ ผมเห็นแต่ร่องรอยของความเกียจคร้าน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ

ตั้งแต่นาทีเธอเดินจากไปเริ่มขึ้น ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรๆ นอกจากนั่งๆ นอนๆ ทำตัวเป็นคนไร้ชีวิตชีวา และหวังว่าจะมีเรียวแรงก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้

กิจกรรมทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในสายตาผมในนาทีนี้ มันช่างดูล่องลอย..เบาบางในความรู้สึก โลกนี้ช่างเคว้งคว้างยิ่งนัก

ผมเปิดพัดลมเพดาน มันเริ่มหมุนวนตามแรงผลักของมอเตอร์ไฟฟ้า

ผมมองมัน....แล้วก็เริ่มคิด....หมุน...วน...หมุน...วน...

แล้ว...ในช่วงหนึ่งของการคิดที่เข้าขั้นเหม่อลอย ในนาทีนั้น ตอนเข็มนาฬิกาเหมือนกำลังจะเดินถอยหลัง ผมก็เริ่มถามตัวเองว่า นอกจากคำตอบของเธอในวันนั้น มันมีสาเหตุอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้ผมเปลี่ยนจากคนที่อารมณ์ดี กลายเป็นคนเหงาหง่อยเช่นนี้....

 แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นในคำนึง...

 ใช่แล้ว...ที่ผมเป็นแบบนี้อาจเป็นเพราะ นิยายเรื่องเศร้าที่เพิ่งอ่านจบเมื่อคืน

 ใช่! เป็นเพราะนิยายเรื่องนั้นแน่ๆเลย ผมย้ำบอกตัวเองอย่างหนักแน่นในใจ ไม่ใช่เพราะเธอจากไปหรอก...โปรดเข้าใจไว้ด้วยนะ...

 ในนิยาย- ชายหนุ่มเป็นจิตรกรเอก ทุกภาพวาดของเขา รังสรรค์ขึ้นมาจากความรัก...ทุกอณูของสีบนผืนเฟรมเขาแต้มมันด้วยความรักศิลปะ

 แต่ใครเลยจะรู้ว่า....หัวใจเขานั้นชาชินเรื่องรักยิ่งนัก

 เขาหลงใหลชีวิตที่เคลื่อนไหวบนผืนผ้าใบ มากกว่าหญิงที่คอยปรนนิบัติข้างกาย เขามีนางเหมือนมีหญิงในวรรณคดีที่คอยเป็นข้ารับใช้ทางอารมณ์ และคอยหุงหาอาหารการกินให้ ก็เท่านั้น ด้านนางนั้น...แน่นอนอยู่แล้วว่า หากชายข้างกายแปลเปลี่ยนไปเช่นนี้ ไม่มีเหตุอื่นใด นอกจากเขาหมดรักนางแล้ว...แต่นางไปไหนไม่ได้ เพราะนางรักเขายิ่งกว่าชีวิตของนางเสียอีก...

เฮ้อ....ออออ...

ไอ้จิตรกรเห็นแก่ตัวนี่ มันเรียกตัวเองว่าศิลปินได้อย่างไรนะ ผมวางนิยายลงบนพื้นห้อง...แล้วหลับตาลง มีคำถามมากมายหลังจากไล่สายตาไปบนตัวอักษรเมื่อครู่...

คนเขียนเขาคิดอะไรอยู่ เขาเอาความจริงมาเขียนหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ เขาบอกตัวเองว่า...มันไม่มีหรอก คนที่จะเห็นแก่ตัวแบบนี้ ในชีวิตจริง มันจะมีจิตรกรคนไหนบ้างนะ ที่ทำได้อย่างนั้น ....

สนใจแต่โลกของตัวเอง จนลืมโลกของคนอื่น โลกที่อยู่รอบตัวมัน

โลกที่ห่างไกลกับจินตนาการระหว่างบรรทัด ที่ตัวอักษรร้อยเรียงเรื่องรักปรุงแต่งเล่มนี้เหลือเกิน

กลับมาเข้าเรื่องนิยายที่ผมว่าถึงกันต่อ หลังจากนั้นไม่นาน เธอ (ในนิยาย) เริ่มจะรู้สึกถึงคุณค่าของการมีอยู่ของตัวเอง จึงลักลอบเป็นชู้กับคิวเรเตอร์ อันเป็นทางออกทางเดียวของชีวิตรักของเธอ จะว่าประชดก็ใช่! ผมพยายามตีความนิยายอย่างนั้น ฝ่ายจิตรกรเอกก็ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้จนเขาวาดภาพสุดท้ายเสร็จสิ้น น่าเสียดายที่ความจริงเดินทางมาถึงพร้อมกับความสำเร็จและเงินก้อนงามจากการแสดงนิทรรศการศิลปะของเขาโดยการผลักดัน จากคิวเรเตอร์ผู้กว้างขวางในวงการศิลปะระดับโลกคนนั้น

 คิวเรเตอร์คนที่เป็นชู้กับผู้หญิงของเขา

ใครเล่าจะรู้ลึกถึงใจจิตในร่างที่มีแต่จินตนาการในหัว ใครเล่าจะรู้ ว่าจิตรกรเอกก็รักเธอไม่น้อยไปกว่าความฝันที่อยู่ตรงหน้า ตรงผืนผ้าใบที่มีรอยยิ้มเธออยู่ในนั้น เขาตั้งใจทำงานชิ้นนี้เพื่ออนาคตของเธอและเขาจนเกินไป จนลืมแสดงออกผ่านความจริง
ความจริงที่ผู้หญิงในโลกนี้ต้องการให้ชายข้างกายแสดงออกซึ่งการมีอยู่ของความรัก 
เพียงแค่เขาบอกรักเธอสักคำให้ได้ยิน ก่อนปาดทีแปรงลงบนผืนผ้าใบ เรื่องมันคงไม่ลงเอยเช่นนี้

ใครเล่าจะรู้ ผมเองก็ไม่รู้ คนเขียนนิยายอาจจะรู้ จึงแกล้งให้คนอ่านเช่นผมเกลียดชังจิตรกรเอก จนความจริงในหน้าสุดท้ายปรากฏ ความสงสารและเวทนาถึงได้เกาะใจผมอย่างนี้อยู่ร่ำไป จิตรกรเอกเผาภาพวาดที่หลงเหลือจากการแสดงนิทรรศการครั้งนั้น ทำลายความฝันใบล่าสุด แล้วเขาก็ลบอดีตที่มีต่อเธอ แล้วพาตัวเองเดินจากไปในโลกความจริง

ผมวางนิยายเรื่องเศร้าลง แล้วบอกกับตัวเองว่า มันเป็นแค่นิยาย

ไม่เคยคิดเลยว่า หลังจากอ่านนิยายเรื่องที่ว่าไปไม่กี่บท  เธอก็บอกลาผม เธอคงเตรียมตัวอยู่นานวัน โดยไม่ให้ผมรับรู้ว่า...เรื่องร้ายกำลังจะมาเยือน  จนกระทั่งเธอพร้อม

“แล้วพี่ผิดอะไรกันเล่า” ผมถาม

“ห้องเช่านี้มันแคบเกินไป” เธอว่า

“งั้นพี่จะไปหาห้องใหม่ ให้กว้างกว่านี้สักสองสามเท่า” ผมเสนอ

“ ไม่เป็นไรหรอก หนูมีคนใหม่ช่วยหารค่าห้องแล้ว” เธอค้านพร้อมเผยคำตอบ

“เพราะอะไร?” ผมพยายามยืดเยื้อ

“ไม่มีอะไรหรอก เมื่อทุกอย่างเดินทางถึงจุดจบ เราก็ต้องแยกย้าย ” เฮ้อ...อ...ออ ผมไม่ชอบสำนวนเธอเอาเสียเลย นี่เธอไปอ่านแล้วจำมาจากหนังสือเล่มไหนบนชั้นวางกันนะ

“แล้วที่ผ่านมา ก่อนจับมือออกเดินทาง เราตกลงกันแล้วนี่ ว่าจุดหมายปลายทาง มันจะมีเราทั้งสองคน ” ผมพยายามยกสำนวนมางัดกับเธอ หวังว่า...บางจะโยค จะวิ่งเข้าไปแทงใจเธอ ไม่เป็นผล ผมโดนแซะว่า ประโยคนี้ มันมาจากนิยายเล่มหนึ่งที่พี่อ่านไม่จบ เธอหยิบมันมาอ่านต่อ เธอจำได้

 “คนที่ทำอะไร แล้วทิ้งมันกลางทางแบบพี่ คงไม่เข้าใจถึงจุดจบหรอก ครั้งนี้ ถือว่าเป็นทางลัดครั้งแรกที่สอนโดยคนที่รักพี่ที่สุดละกัน”

สิ้นเสียงนี้ เหมือนทุกอย่างบนโลกของผมกำลังหยุดหมุน  คงใช้เวลานานกว่ามันจะเคลื่อนไหวอีกที

แสงยามบ่ายเริ่มรุกรานเข้ามาในห้องเช่านี้แล้ว นี่ผมจะไปไหนดี คุณเคยตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าจะออกไปไหน จะไปทำอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะนั่งจมจ่อมหรือนอนเหยียดกายในความว่างเปล่าเช่นนี้ไหม นั่นแหล่ะความรู้สึกของผมตอนนี้

“แล้วงานการไม่คิดจะทำหรือ” เสียงเธอเมื่อสามเดือนที่แล้ว แว่วเข้ามาให้คำนึง ในตอนนั้น เธอถามเมื่อเห็นผมไม่ออกไปไหนมาไหนอย่างเมื่อก่อน

 ช่วงนั้น...ผมปล่อยตัวเองให้จมไปกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่าเป็นเวลานาน ตั้งใจว่าจะปิดต้นฉบับเรื่องสั้น ที่เขียนค้างไว้เมื่อหลายเดือนก่อนให้จงได้ แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที

ผมทำงานเป็นดีเจที่ผับแห่งหนึ่ง และที่นั่นเอง ก็เป็นที่ที่ทำให้ผมพบกับเธอ สาวเชียร์เบียร์ยี่ห้อดัง มัดใจดีเจอย่างผมได้อยู่หมัด หลังจากคบกันได้ไม่นาน เราย้ายมาเช่าห้องอยู่ด้วยกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

“พี่ ห้องนี่แคบเกินไปมั๊ยอ่ะ” เธอติงเมื่อเห็นขนาดห้องเช่าที่ไม่เหมือนกับที่ผมคุยไว้

“แต่พี่ชอบที่มันมีระเบียงนะ จะได้เขียนหนังสือตรงนั้น” ผมแก้ตัว ปกปิดความจริงที่ ผมไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับห้องเช่าที่ใหญ่กว่านี้ ผมกำลังเก็บเงินไว้ซื้อโปรแกมลิขสิทธ์สำหรับเขียนหนังสือและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องใหม่เพื่อทำงานเขียน อาจเป็นเพราะช่วงแรกของการตกลงคบหากัน อะไรที่ขัดใจระหว่างเรามันจึงคลี่คลายได้ง่าย ในที่สุดเธอก็ยอมย้ายเข้ามาอยู่กับผม และถึงแม้ว่า...เธอยืนยันจะช่วยหารค่าเช่า แต่ถ้าหากคุณตั้งใจที่จะดูแลผู้หญิงที่รักคนหนึ่ง เรื่องแค่นี้จะยอมทำไม่ได้เชียวหรือ?

ผมบอกเธอ..ว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง

 เธอหันมายิ้มให้ สายลมพัดวู้บเข้ามา พารอยยิ้มนั้นจางหายไป

 ผมมองออกไปยังระเบียงที่ว่างเปล่า ถึงได้รู้ว่าตัวเองจมเข้าไปในอดีตอีกแล้ว

 เธอทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้หนึ่งผืน เป็นรูปตัวการ์ตูนที่เธอชอบ ผมเก็บมันไว้อย่างดีที่สุด กลิ่นกายเธอที่ติดอยู่เริ่มจางหายไปตามกาลเวลา เมื่อคืน ผมจึงตัดใจนำมันออกมาซักด้วยหวังว่ามันจะซักอดีตในใจผมออกไป ไม่เป็นผล นาทีที่แล้วผมยังคิดถึงเธออยู่เลย

และนาทีนี้ ผมกำลังจะอาบน้ำ ภาพเธอเปลือยกายก็ผุดขึ้นมาให้ผมใจหายอีก

แล้วผมก็อาบน้ำไม่ได้ ผมทนไม่ได้ที่จะตักน้ำขึ้นมารดกายด้วยความเดียวดาย เธอชอบมีเพื่อนตอนอาบน้ำ ป่านนี้ใครจะอาบน้ำเป็นเพื่อนเธอนะ

ผมตัดสินใจกลับมานั่งที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งที่ตัวยังเปียกอยู่ แล้วเริ่มพิมพ์

"ผมมีปมในใจ ผมมีปมในใจ ผมมีปมในใจ ผมมีปมในใจ ผมมีปมอยู่ที่เธอ ผมมีปมที่ผูกไว้กับเธอ ผมมีปมที่ดูแลเธอไม่ได้ ผมมีปมในใจ ผมจงใจผูกปมไว้กับเธอ ผมเสียเธอไป เพราะผมมีปมในใจ ผมไม่เอาไหน ผมมันไม่เอาถ่าน แล้ว..."

 แล้ว...ความรักอยู่หนใด อยู่ในนิยายกันหรือ

“เพราะพี่ไม่ทำงานไง” เธอว่าหลังจากเรามีปากเสียงกันรุนแรงในวันที่ความสัมพันธ์เราถูกตัดขาด

“นี่ไงงาน” ผมชี้ไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

เธอไม่เถียง แต่แสดงท่าทีว่ามันไม่มีทางเป็นงานในชีวิตจริงของผมได้

“ พี่แม่ง...ได้แต่ฝันว่ะ “ จนใจที่จะโต้แย้ง ผมมันไม่เอาถ่านเอง ทั้งๆ ที่พยายามทุกวิถีทาง เท่าที่จะทำได้ ทุ่มเท มุ่งมัน หาข้อมูล แล้วก็ เขียนๆๆๆๆๆๆ

“เธอก็เคยบอกเองนี่ ว่าชอบหนุ่มนักฝัน ” ผมพยายามเรียกความหอมหวานในอดีต กลับคืนมา อดีตที่เราสองเว้นช่องว่างให้ความฝันมีที่ยืน

“ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะพี่ ทำอะไรคิดถึงคนข้างกายบาง ไม่ได้หมายความถึงหนูนะ ครอบครัวพี่อ่ะ พี่ดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าลงทุกวันได้หรือยัง

สิ้นเสียงเธอ ผมหน้าชา ยุติการทะเลาะกันในวันร้างลา โดยพลัน

จริงดั่งเธอว่า ผมมันพวกชอบจินตนาการ แต่พ่ายแพ้ความจริง ความจริงที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำงานเป็นคนเปิดเพลงตามใจคนอื่น ตัวตนเริ่มหายไป พอพบความชอบของตัวเอง มันก็กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทำเป็นอาชีพไม่ได้

ผมคงต้องปล่อยให้ความเดียวดายเข้ามาแทนที่ความรักแล้วหละ ให้เธอไปเจอความมั่นคงที่ดีกว่านะ คงเหมือนใครบางคนว่าไว้ กว่าคนเราจะพบคนคู่ชีวิตที่เดินไปจนสุดทาง รักอย่างเดียวคงจะไม่พอ

แป๊ะๆ ๆ ๆ แป๊ะ

ฝนเม็ดเล็กล่วงหล่นบนหลังคาห้องเช่ากลางลำแดด แบบไม่มีวี่แววว่าเม็ดน้ำจะมาเยี่ยมเยียนยามนี้ ผมชะโงกหน้าออกไปเมียงมองผ่านกรอบหน้าต่าง ผิวดินมีรอยช้ำ จากการระรานของเม็ดฝนเมื่อครู่นี้ กลิ่นไอดินทำให้สดชื่นโดยพลัน ความเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้อารมณ์ผมแปรเปลี่ยน มันดีขึ้นเล็กน้อย

ผมฝืนยิ้มให้กับตัวเอง คิดในแง่ดี อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องดีเกิดขึ้น ฝนตกปรอยปรอย สามารถปรับระดับอารมณ์ภายในของเราได้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเปิดลิ้นชัก หยิบเอางานที่เขียนค้างไว้เมื่อคืนมาอ่านทบทวน

 (ข้อความในงานเขียน)-หากวันหนึ่งท้องฟ้าเป็นสีเขียวเข้ม เราจะยังมองท้องฟ้าที่คุ้นชินอีกหรือ บางคนบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่อะไรบางอย่างบนโลกนี้ต้องเปลี่ยนแปลง แสงแดดที่ร้อนแรง อาจจะเย็นชาลงก็ได้ในบางวัน ใครเล่าจะรู้

“โอ้โห เจ้าสำนวนเหมือนกันนะเนี่ย” ผมอุทานคนเดียวเมื่อผมอ่านข้อเขียนของพั้นท์จบลง แล้วเผลอยิ้มออกมา

แรกเดิมทีที่รู้จักกัน พั้นท์เป็นพยาบาลสาวสวยที่ผมเจอเข้าเมื่อพาน้องสาวไปรักษาอาการสิวที่ใบหน้าหน้า เธอคงเห็นผมหยิบหนังสือที่พกติดตัวมาด้วย ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาจนไม่มีหนังสือจะอ่านอีกเธอจึงยื่นหนังสือ รวมเรื่องสั้น “วันว่างอันน่าหน่าย ที่ทำร้ายพยาบาล (เกือบสาว) “ ให้ผม

 ผมชอบรอยยิ้มนั้น มากกว่าหนังสือทำมือที่เธอยื่นให้

“ท่าจะฟุ้ง” วันนั้นผมบอกตัวเองอย่างนี้ และคิดในทางกลับกันว่า ขนาดพยาบาลเค้างานยุ่งขนาดนี้ ยังหาเวลา คิด เขียนเรื่องโรแมนติกได้เลย แล้วเราอ่ะ ทำไมจะทำความฝันให้เป็นจริงไม่ได้

“เขียนขึ้นมายามว่างอ่ะค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นหลังจาก ที่เห็นผม ก้มลงมองหน้ากระดาษนานเกินไป

 “เข้าท่าดีนะครับ” นั่นเป็นคำตอบที่ผมบอกเธอ เพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่า แต่เมื่อกลับมานอนนึกถึงเรื่องราวที่เธอได้เขียนขึ้นในรวมเรื่องสั้นเล่มนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่มี
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

ผมเขียนค้างไว้ถึงตรงนี้ แล้วก็ไม่มีตัวอักษรใด ปรากฏขึ้นมาต่อเป็นเวลาหลายวันแล้ว

“เขียนนิยาย นี่ใช่ทางของเรามั้ยวะ” ผมพยายามถามตัวเองจากงานเขียนที่เพิ่งไล่สายตาผ่าน ไปเมื่อครู่นี้ พอผิดหวัง ก็พยายามเขียนเรื่องแต่งให้เรามีหวัง เขียนอีกกี่เรื่องมันก็ซ้ำๆ ประโยคเดิมๆ
ประโยคของคนผิดหวังในรัก... 

เฮ้อ...ออออออ...
แป๊ะ!...

เสียงเม็ดฝนแป๊ะสุดท้ายทิ้งไว้บนหลังคา แล้วก็จางหายไป แดดกลับมาส่องแสงจ้าเช่นเคย ผมเงยหน้าจากกระดาษ แล้วถามตัวเองว่า อะไรกันเล่าที่ผมยังไม่มี โลกแห่งความจริงที่สมบูรณ์ มีที่ว่างให้จินตนาการได้หายใจ หรือโลกแห่งความฝัน ที่ความจริงไม่ใจร้ายจนเกินไป

หรือโลกที่มีเธออยู่ ?

ผมยอมรับว่า สับสน หลงทาง มองไม่เห็นทางออก

ผมสร้างพั้นท์และงานเขียนชิ้นนี้ขึ้นมาจากเรื่องราวที่เสียเธอไป แล้วพรุ่งนี้ผมจะสร้างใครขึ้นมาแทนเธออีกหรือไม่ แล้วผมต้องสร้างใครต่อใครไปแบบนี้ ไปเรื่อยๆเชียวหรือ

นั่นเป็นคำถามในใจที่ผุดขึ้นมา ในหัวผมตลอดตั้งแต่ประโยคที่เธอทิ้งท้ายไว้...“พี่ดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าลงทุกวันได้หรือยัง”

ผมรู้ดีว่า...เธอทิ้งผมไป เพราะผมเพ้อฝัน ไม่ตั้งมั่นในชีวิตจริง ไม่เอาถ่าน วันๆ ได้แต่ปล่อยตัวเองไปกับการฝึกฝนเขียนเรื่องราวเหล่านี้ พาตัวเองจมอยู่กับจินตนาการในหน้ากระดาษ ผมจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไปเรื่อยๆ แบบนี้ หรือจะลุกขึ้นไปต่อสู้กับความจริง

คำตอบคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง นอกหน้าต่าง  ที่ไม่ใช่ความหลังใต้หลังคา นี้ 

ผมจะไปตามหามัน

หวังว่าจะเจอ 


ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ จาก https://storylog.co/story/5a5340c98fecebca31296910

โพสต์โดย : สถานีคำคม ~ สถานี คำคม

เพจ ความหลังใต้หลังคา โพสต์โดย สถานีคำคม เมื่อ วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561