Animated Dragonica Star Glove Pointer

แก้วตาดวงใจ


“แล้วแม่จะอยู่ยังไงล่ะลูก ฮือๆ ฮือๆ ฮือๆ”

เสียงคร่ำครวญของหญิงชราวัย 60 ต้นดังไปทั่ว คนในงานต่างพากันน้ำตาไหลตามเจ้าของงาน นางสร้อยนั่งร้องไห้อยู่หน้าศพของลูกชายนานแล้ว ข้างๆ เป็นนางนิ่ม น้องสาวเพียงคนเดียว มือซ้ายบ่งบอกกึงความชราที่เพิ่มขึ้น บีบเข้าที่หัวไหล่ซ้ายของพี่สาวเป็นช่วงๆ อย่างเข้าใจ

“ลูกมันจะห่วงนะพี่ ให้มันไปดีเถอะ อวยพรให้มันไปเกิดบนสวรรค์นะพี่นะ ชาตินี้ มันทำบุญมาอยู่กับพี่แค่นี้”

คำพูดที่ดูจะช่วยอะไรได้ไม่มากในยามนี้ แสดงความห่วงใยออกมาอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกที่ปวดร้าวทรมานนี้ได้เลย

เต้ยเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่รับกันกับร่างกายที่สมส่วนเริ่มเป็นหนุ่มขึ้นทุกวัน ผมและคิ้วสีดำ มองดูเข้ากันกับดวงตาที่แฝงไปด้วยความมุมานะอยู่ภายใน นางสร้อยมีอาชีพขายผัก อาศัยอยู่ในบ้านสวนหลังกะทัดรัด ติดแม่น้ำ การปลูกผักขายจึงดูเป็นอาชีพที่สมเหตุสมผลดี แม้พ่อจะทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก การเลี้ยงดูเอาใจใส่จากแม่ ทำให้เต้ยเป็นเด็กดี เข้าใจสภาพของครอบครัว ออกจะเป็นเด็กที่โตเกินอายุ มีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่แม้อายุจะยังน้อยก็ตาม

“ช่วยฉันหน่อยนะพี่ นี่ลูกฉันต้องเปิดเทอมพร้อมกันตั้ง 3 คน ฉันหมุนเงินไม่ทันจริงๆ ถ้าพี่ไม่ค้ำให้ฉัน ฉันก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วอ่ะพี่ นะพี่นะ”

นางสุมน เพื่อนแม่ค้าที่ขายผักอยู่แผงติดกัน พูดรบเร้านางสร้อย สองมือก็รับผักจากลูกค้ามาใส่ถุงอย่างทะมัดทะแมง สีหน้าขอความเห็นใจ ฉายอยู่บนใบหน้านั้นนานหลายนาที

“สุมนเอ้ย ถึงฉันจะมีลูกคนเดียว ฉันก็ต้องกินต้องจ่ายเหมือนกันนะ ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไรจิปาถะอีก ถ้าฉันค้ำให้แล้วแกไม่ส่งเงินเค้า ฉันไม่ซวยรึไง”

“โธ่พี่ ฉันจะไม่ส่งได้ยังไงล่ะ ฉันรู้ ว่าพี่ก็ลำบาก ฉันจ่ายแน่ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เคยเบี้ยวเงินใครนะพี่ ฉันก็ทำมาหากิน พี่ก็เห็นนิ่ ใช่มั๊ย ช่วยฉันสักครั้งนะ ฉันจะไม่ขอให้พี่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ฉันสัญญา”

น้ำเสียงรบเร้าจากนางสุมน ยิ่งทำให้นางสร้อยอึดอัด แม้อีกใจจะสงสาร แต่เพราะกลัวสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น จึงลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแบบนั้น

“ฉันไหว้ละพี่ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จริงๆ พี่ ขอร้องล่ะ”

นางสุมนยกมือขึ้นไหว้ หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินหันหลังจากแผงผักนั้นไป เมื่อเห็นสีหน้าและมือที่ยกไหว้ค้างไว้อย่างนั้น นางสร้อยจึงส่ายหัวอย่างหมดหนทาง

“เออๆ ทำตามที่พูดด้วยล่ะ อย่าทำให้ฉันกับลูกต้องลำบากนะ นี่เห็นว่าแกเป็นน้องเป็นนุ่ง ฉันจะช่วยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วอย่าไปบอกใครว่าฉันค้ำให้ล่ะ เดี๋ยวจะพากันมายกใหญ่”

“จ่ะพี่ ฉันไม่บอกใครหรอก ขอบคุณนะพี่นะ ขอบคุณพี่จริงๆ ที่ยอมช่วยฉัน”

นางสุมนมีสีหน้าดีใจออกมาในทันที ดวงตาดูมีความหวัง สีหน้าขอความเห็นใจเมื่อครู่หายไปแล้ว

ทุกอย่างในตลาดดำเนินไปเหมือนทุกวัน ทุกอณูในตลาดดูวุ่นวาย เสียงคนเหมือนเสียงจักจั่นที่เซ็งแซ่ในยามค่ำคืน เสียงต่อรองราคา เสียงสาดน้ำ เสียงพูดคุย ดังสะพัดปะปนกันไปในอากาศ นางสร้อยเริ่มกังวล หลังจากที่นางสุมนหายหน้าไปจากแผงผักมาได้ร่วมอาทิตย์ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ เงินแสนที่นางสร้อยไปค้ำประกันให้ เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาแล้ว

“นี่ ป้าอ่ะชื่อสร้อย คนที่ไปค้ำประกันให้นางสุมนมันรึป่าว”

น้ำเสียงคนถามดูไม่เป็นมิตรนัก ผู้ชายอีกสามสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังคนพูด ยิ่งทำให้อากาศภายในใจของนางสร้อยเย็นวาบลงไปอีกหลายองศา

“จ่ะ ป้าเอง มีอะไรหรอจ๊ะ”

“อีสุมนมันไม่ใช้หนี้ฉันมาสองเดือนละนะ ฉันตามหามันมาสักพักละเนี่ย แล้วนี่มันไม่มาขายของหรอ”

“มันไม่มาหลายวันแล้วล่ะ” นางสร้อยตอบไป ความกังวลตัวใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะ

“อย่าว่าฉันอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ในเมื่อป้าค้ำให้มัน ถ้ามันไม่จ่ายแบบนี้ ป้าก็ต้องชดใช้เงินแทนมัน สองเดือน ต้นทบดอกตอนนี้ ป้าต้องให้พวกฉัน 20,000”

“อุ้ย เงินขนาดนั้นป้าไม่มีหรอก” ความกลัวพุ่งพราดเข้ามาในใจอย่างช่วยไม่ได้แล้ว

“ฉันให้เวลาป้าอาทิตย์นึง ถ้าอาทิตย์หน้าฉันมาเก็บไม่ได้ อย่าหาว่าพวกฉันใจร้ายเลยนะป้า”

เมื่อชายกลุ่มนั้นเดินพ้นไปจากสายตา นางสร้อยนั่งเอามือชกอกตัวเอง กลืนน้ำลายไม่ลง นึกถึงนางสุมนในวันที่ขอร้องให้ตนช่วย

“ทำไมทำกับข้าแบบนี้ อีสุมน”

สายไปแล้วที่จะคิดถึงนางสุมนในตอนนี้ ที่น่าห่วงคือเต้ย ที่กำลังเรียนหนังสือในวัย 17 ปี ค่าเทอมที่เพิ่งจ่ายไป ทำให้เหลือเงินเก็บไม่มากนัก และต้องเอามาหมุนเวียนใช้จ่ายในบ้านต่อ

“แม่ หนูกวาดบ้านถูบ้านเสร็จละนะ หนูจะไปเตะบอลกับเพื่อนก่อน สัก 6 โมงหนูค่อยกลับบ้าน อยากกินไข่น้ำมากเลย วันนี้ทำไข่น้ำนะแม่”

เต้ยแวะมาบอกกับแม่ที่ตลาดเป็นประจำ เมื่อเลิกเรียนและจะออกไปเที่ยวหาเพื่อน

“เอ้ออออ แม่จะทำไว้ให้นะ รีบไปรีบมาลูก” น้ำเสียงที่ฟังดูผิวเผินนั้นไม่ได้มีอะไรผิดแปลก แต่จริงๆ มันเจือความกังวลและความกลัวไว้ภายใน “อีกแค่ 7 วัน โอ๊ย จะทำยังไงดีวะเนี่ย”

วันนี้นางสร้อยไม่ได้ไปขายของที่ตลาดเหมือนทุกวัน เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ หากวันนี้เกิดอะไรขึ้น ที่ห่วงก็คงจะมีแต่เรื่องลูกเท่านั้น

“ไงป้า เงิน 20,000 เตรียมไว้พร้อมรึยัง” เสียงเดิมที่เคยได้ยินเมื่ออาทิตย์ก่อนดังมาจากประตูหน้าบ้าน ชายสามคนพากันเดินเข้ามาในตัวบ้าน

“หนู ป้าไม่มีหรอก เงินเยอะขนาดนั้น ป้าขายผักได้วันละไม่กี่ร้อย จะหาเงินหลักหมื่นจากที่ไหนกัน”

“อ้าวป้า พูดงี้ได้ไง สัญญาต้องเป็นสัญญา ในเมื่ออีสุมนมันจ่ายไม่ได้ ป้าต้องรับผิดชอบ มันก็ถูกแล้วนิ่”

“แต่เอ็งให้เวลาป้าแค่ 7 วัน ป้าจะไปหาจากที่ไหนล่ะ เงินป้าก็ไม่ได้เป็นคนยืม ป้าแค่ไปค้ำให้มันเฉยๆ ให้ป้าติดต่อมันได้ก่อนนะ แล้วป้าจะทวงให้”

“อ่าว ป้านี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง ถึงเวลาต้องคืนก็ต้องคืน ไหน ในบ้านมีอะไรบ้าง ไป มึงสองคน ไปค้นดูให้ทั่ว”

บ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ชายคนหนึ่งหันไปเห็นกระปุกออมสินใบหนึ่งที่ตั้งไว้ใกล้กับทีวี

“นี่ไงพี่ ในนี้น่าจะพอมีตังค์อยู่บ้าง ทุบเลยมะ”

“เออ ทุบเลย มีเท่าไร มึงเอาออกมาให้หมด”

นางสร้อยกระโจนเข้าไปตรงหน้าทีวี แต่ชายคนหนึ่งคว้าแขนไว้ได้ นางสร้อยจึงถูกเหวี่ยงไปจนกระเด็น กระปุกออมสินของลูกกำลังจะถูกทุบออก ภาพในหัวตอนนี้มีแต่ใบหน้าของลูก ผู้ชายคนหนึ่งเข้าประชิดนางสร้อยแล้วดึงแขนที่พยายามจะยื่นออกไปเพื่อคว้ากระปุกออมสินนั้นไว้ น้ำตาเริ่มไหลอาบสองแก้ม

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ ปล่อยแม่กูนะ”

เสียงเด็กหนุ่มตะโกนร้องเข้ามาในบ้าน กระเป๋านักเรียนถูกกระชากออกจากแขนขวาตัวเองอย่างรวดเร็ว เต้ยไม่ได้เข้าไปช่วยแม่ในทันที แต่กลับวิ่งเข้าไปในครัว คว้าเอามีดปลายแหลมแล้วกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เต้ยพุ่งตรงไปที่ชายคนที่ยึดแขนแม่ไว้ เขารีบปล่อยแขนนางสร้อยออก

“แม่มาอยู่หลังหนู” นางสร้อยกุมชายเสื้อนักเรียนของลูกไว้

“ไปลูก หนีไปก่อน เราอยู่ไม่ได้แล้ว” เต้ยแกว่งมีดไปมาซ้ายขวา สองขาพยายามก้าวถอยหลังไปตามแรงดึงของแม่

“มึงจะหนีไปไหน เอาตังค์มาใช้หนี้กู” ชายสามคนขยับขาไปมาเพื่อหลบปลายมีด พยายามจะล้อมเด็กหนุ่มไว้ เมื่อคนทางซ้ายคว้าเข้าที่แขนขวาของเต้ยได้ เต้ยพยายามสะบัดแขน มือซ้ายเอื้อมไปช่วยมือขวาพยุงมีดในมือไม่ให้โดนแย่ง ผู้ชายขวามือวิ่งเข้าไปคว้านางสร้อยแยกไปอีกครั้ง

“ระวังนะลูก เต้ย ระวัง โอ๊ย ปล่อยกู อย่าทำลูกกู กูยอมแล้ว อย่าทำลูกกู ฮือๆ พอแล้ว พอแล้ว” นางสร้อยพูดออกมาไม่เป็นคำ

เมื่อจะถูกชายคนที่เหลืออยู่โผจับเข้าที่ลำตัว เต้ยยกเท้าขึ้นถีบ สองมือยังพยายามประคองมีดซึ่งกำลังจะโดนแย่งจากชายอีกคน แต่แรงของเด็กหนุ่มวัยเพียง 17 ปี หรือจะสู้แรงจากชายฉกรรจ์ 2 คนที่ผ่านการต่อสู้มามากกว่า เมื่อมีดในมือหลุดจากชายคนที่พยายามจะแย่งมีดได้ เต้ยเงื้อมมือจะแทงชายอีกคนที่กำลังพุ่งเข้ามา ความเร็วกว่าของชายคนนั้นทำให้มีดที่เงื้อมขึ้นในระดับอก ถูกกระแทกกลับเข้าหาตัวของเต้ยอย่างแรง

เต้ยยืนตาค้าง ร่างยังไม่ทันร่วงลงไปกับพื้น ชายสองคนตรงหน้าผงะออก แม่ที่ยืนอยู่กับผู้ชายอีกคนอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า

“เต้ยยยยยยยยยยย” นางสร้อยกรีดร้องสุดเสียง ชายสามคนรีบวิ่งออกจากบ้านไป นางสร้อยวิ่งเข้าไปหาลูก กอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นไว้กับอก

“ไอสาระเลว มึงฆ่าลูกกู มึงฆ่าลูกกู เต้ยยยย ลูกแม่ เต้ยยยยยย ฮือๆ เต้ยยยยยย ตื่นสิลูก ตื่นนนนนน ไอชั่ว ไอเลว มึงทำลูกกูทำไม เต้ยยยย” เสียงร้องนั้นระงมไปทั่ว นางสร้อยร้องไห้ปริ่มใจจะขาด ภาพของเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นในบ้าน รอยยิ้มนั้นอบอุ่น มองมาที่แม่อย่างเข้าใจ มองกลับมาด้วยความรัก ไม่มีอีกแล้ว เด็กชายคนนั้น

ควันที่พุ่งออกจากปล่องเมรุ ยิ่งทำให้น้ำตาของแม่ไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงกรีดร้องราวจะขาดใจตาย สะเทือนเข้าไปในหัวใจของแขกที่มาร่วมงาน มีเพียงคำร่ำลาสุดท้ายจากทุกคนที่ร่วมกันส่งเต้ยขึ้นสวรรค์ “หลับให้สบายนะลูก”

หลังเสร็จสิ้นงานศพไป 2 วัน ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว นางสร้อยกำภาพของลูกชายซึ่งเป็นภาพปัจจุบันไว้ในมือ รูปภาพถูกทาบแนบไว้กับอก ราวกับกำลังกอดลูกเป็นครั้งสุดท้าย สายตามองไปข้างหน้า

“เต้ยเอ้ย เกิดมาชาตินี้ แม่ทำให้หนูลำบาก พ่อก็ทิ้ง ยังต้องมาตายเพราะแม่อีก แม่ขอโทษนะลูก กลับมาเกิดเป็นลูกแม่อีกนะ”

หัวขบวนรถไฟที่เพิ่งขับผ่านไป จอดอยู่ไกลออกไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร ท้ายขบวนก็อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนมากนัก เสียงผู้คนตะโกนโหวกเหวก เรียกร้องให้คนมาช่วยกัน ภาพของไทยมุงที่แท้จริง นางสร้อยหลับไปแล้ว ครึ่งตัวล่างที่โดนรถบดขยี้ไปเมื่อครู่ เผยให้เห็นลำไส้ถูกลากกระจายไปตามทางรถ ขาซ้ายบิดงอ ถูกเหยียบแบนพาดอยู่บนขอบรางดูน่ากลัว 2 แขนกางออก ไม่มีอะไรต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอีกต่อไป ภาพถ่ายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ปลิวไปติดอยู่กับกอหญ้าข้างทาง อาจไม่มีใครได้พบเจออีกแล้ว แต่สองแม่ลูกกำลังจะได้พบกันในอีกไม่นาน

ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ
จาก https://storylog.co/story/5c88b43db9be094628459bbc
อ่านเพิ่มเติม
 

ร้านกาแฟที่แสนเศร้า



ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง มีแขวนกระดิ่งเล็กๆไว้ที่ประตูร้าน ทุกครั้งที่มีแขกเข้าร้าน ก็จะทำให้กระดิ่ง นั้นส่งเสียงดัง `Ding Ding` 


วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปีเข้ามาในร้านกาแฟนี้ เจ้าของร้านสาวสวยก็รีบออกมาต้อนรับให้เขานั่งด้านใน 


“กาแฟแก้วนึงครับ” 


“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เจ้าของร้านสาวพูดพลางยิ้มให้อย่างมีมารยาทแล้วก็ไปบดเม็ดกาแฟและตั้งกา ต้มกาแฟ ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวอยู่ตลอด ไม่นานนัก เจ้าของร้านสาวก็นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะชายหนุ่ม 


“ขอบคุณครับ คุณเพิ่งมาเป็นครั้งแรกใช่ไหม? ” 


“ รู้สึกว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้างคะ?” เจ้าของร้านสาวถาม 


“ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยครับ” 


“ฉันก็ชอบบรรยากาศของร้านนี้มากเหมือนกันถึงแม้ว่ากิจการร้านนี้ไม่ค่อยดีนัก ฉันกับสามีก็เสียดายไม่อยากจะปิดร้านทิ้ง” ทั้งคู่เงียบไปสักพัก 


“ผมขอถามอะไรคุณบางอย่างได้ไหมครับ? เอ่อ... ก่อนที่จะถามคุณ ผมอยากจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้คุณ “ฟังก่อน” ชายหนุ่มพูดถามขึ้นมา 


“ได้ค่ะ คุณพูดมาได้เลย” เจ้าของร้านสาวก็สนใจที่จะฟัง 


ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งผ่านมานานมากแล้ว 


“เมื่อก่อนผมมีแฟนคนหนึ่ง เราสองคนก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตแล้วความรักของเรา สองคนนั้นถึงแม้จะธรรมดา แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะผมรักเธอมาก เพียงแค่มีเธออยู่ข้างๆผมก็มี ความสุขมากแล้ว แต่ทว่า ความสุขอันนี้มันช่างสั้นนัก หลังจากนั้นก็มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ก่อนหน้าพิธีหมั้นของเราสองคนหนึ่งเดือน คืนนั้นผมมีธุระต้องทำ จึงไม่สามารถไปส่งเธอกลับบ้านได้ ในคืนนั้น เธอโดนคนร้ายรุมข่มขืน...” 


“ แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรคะ? ความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปหรือ?” เจ้าของร้านสาวถามด้วยความสงสาร 


“ถึงแม้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ความรักของผมที่มีให้เธอก็คงยังมั่นคงมิได้แปรเปลี่ยนเลยสักนิด ผมก็ ตั้งใจจะจัดพิธีหมั้นขึ้นตามเดิม แต่... 


เธอคิดไม่ตก เธอเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นเธอคนเดิมแล้ว ในวันหมั้นของเราสองคนวันนั้น เธอผูกคอตาย 


โชคยังดีที่ว่าพวกเราพบเธอได้เร็ว ช่วยชีวิตเธอไว้ได้แต่เพราะว่าสมองขาดออกซิเจนนานเกินไป ทำให้เธออยู่ในสภาพไม่มีความรู้สึกตัว และอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้...

สุดท้าย เธอก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผมรู้ว่าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบไปหาเธอ แต่พ่อแม่เธอขวางกั้นผมไว้ไม่ให้ไปพบเธอ พวกเขาคุกเข่าลงมาขอร้องผม พูดว่าลูกสาวเขาตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอมาก ตอนนี้ กลายเป็นว่าความทรงจำบางส่วนได้หายไป หมอบอกว่าเมื่อคโดนกระตุ้นจิตใจอย่างแรง ก็อาจจะเลือกที่จะหลบหลีกความทางจำอันนั้นโดยการฝังลึกไว้ในใจตัวเอง ไม่ต้องการที่จะจำเรื่องเลวร้ายนั้นอีก


เธอลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาด้วย พ่อแม่เธอขอร้องให้ผมอย่าเพิ่งไปพบเธอสักพัก เขาไม่ต้องการให้เธอนึกถึงเรื่องน่าเศร้านั้นอีกเพราะกลัวว่าเธอจะฆ่าตัวตายอีก ผมให้สัญญากับพ่อแม่ของเธอไว้ว่าจะไม่ไปพบเธอก่อนจะครบสิบปี ถึงแม้จะบังเอิญเจอกันในที่อื่น ก็จะทำเป็นไม่รู้จัก ไม่ทักทายกันเด็ดขาด ช่วงเวลานั้นมันช่างทรมานยิ่งนัก อยากรักเธอ แต่ไม่อาจทำได้ อยากจะพบหน้าเธอ แต่ก็ไปพบไม่ได้ วันนี้ เป็นวันครบสิบปีนั้นแล้ว” 


“ขอแสดงความยินดีให้ด้วยค่ะ คุณรอคอยมาสิบปีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็สามารถไปพบเธอได้แล้ว” 


“ใช่ครับ แต่... ยิ่งใกล้ถึงเวลานี้ ผมก็ยิ่งกลัว สิบปีที่ผ่านมานี้ ความรักผมนั้นยังไม่เปลี่ยน แต่ตัวเธอล่ะ? ถ้าผมเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังเธอก็ยังจำผมไม่ได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ? หรือว่าเธอได้แต่งงานไปแล้ว ผมควรจะทำเช่นไรดี? เพราะเช่นนี้ ผมอยากจะถามคุณว่า คุณคิดอย่างไร? ถ้าแฟนผมคนนี้แต่งงานไปแล้ว ผมควรจะบอกให้เธอ ได้รับรู้เรื่องนี้มั้ย?” 


เจ้าของร้านสาวก็พูดอย่างจริงใจว่า “ถ้าสมมุติว่าเธอมีแฟนแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ แต่งงานกัน คุณยังมีโอกาส แต่ถ้าเธอคนนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว คุณก็ไม่ควรไปทำลายครอบครัวเขา” ชายหนุ่มได้รับฟังแล้ว ก็แค่ตอบสั้นๆด้วยความผิดหวัง... 


“นั่นสินะ...” `Ding Ding` พอดีเวลานี้ก็มีแขกคนอื่นเข้ามาในร้าน 


เจ้าของร้านสาวก็พูดกับชายหนุ่มว่า “ฉันต้องไปต้อนรับแขกแล้ว เชิญตามสบายนะคะ” 


เธอเดินออกไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาถามเขาว่า 
“จริงสิ คุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยสนิทกับฉัน มากนัก ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังล่ะคะ?” 


ชายหนุ่มคิดสักครู่ถึงตอบออกมา “เพราะว่า เธอคนนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า หลังแต่งงานแล้ว เธออยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆอย่างนี้เหมือนกัน” 


“อ๋อ อย่างนี้เองหรือคะ” พูดจบเธอก็หันหลังกลับเดินไปต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่ 


ชายหนุ่มมองตามร่างของเจ้าของร้านสาวนั้น น้ำตาเขาค่อยๆหยาดไหลออกมา เขาตัดสินใจไม่บอกเธอว่า แท้จริงแล้วเขามาที่ร้านนี้เพื่ออะไร แฟนของเขาคนนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอนั้นมันช่างไกลยิ่งนัก กาแฟในแก้วนั้น ก็ไม่รู้เย็นลงตั้งแต่เมื่อไหร่...


ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ จาก https://www.gotoknow.org/posts/461933
อ่านเพิ่มเติม
 

แพรว





"แกน่ะเคยทำอะไรให้พ่อแม่ได้ภูมิใจบ้างไหมเรียนก็ไม่ได้เรื่องสู้น้องไม่ได้สักอย่างทำอะไรก็ไม่เป็น"


เสียงแม่ด่าไม่เว้นแต่ละวันโดยเฉพาะทุกครั้งวันประกาศผลสอบด้วยแล้วแพรวไม่อยากจะคิดเลย


แม่มักจะว่าเธอทุกครั้งที่เห็นผลสอบของเธอแพรวมีน้องสาวอีกหนึ่งคนชื่อว่า"แพร"



แพรเป็นคนเรียนเก่งเล่นกีฬาเก่งและที่สำคัญแพรเป็นคนสวยและน่ารักใครๆก็อยากเข้าใกล้


นั่นล่ะคือข้อแตกต่างระหว่างเธอและน้องส่วนเธอไม่มีอะไรดีสักอย่าง



แพรวเคยคิดอยู่เสมอว่าหากวันใดที่ไม่มีเธอแม่คงจะดีใจเพราะเธอไม่เคยทำอะไรได้ถูกใจแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว


แม่ไม่เคยยิ้มกับเธอไม่เคย.....เลย......แม้สักครั้งพ่อมักจะคอยอยู่ข้างแพรวเสมอในยามที่แม่ว่าเธอ


แต่เดี๋ยวนี้พ่อไม่ค่อยอยู่บ้านนานๆครั้งพ่อถึงจะกลับบ้านเมื่อพ่อกลับมาแพรวจะดีใจมากจนวิ่งเข้าไปหาพ่อเป็นคนแรก



แพรวกำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่ในห้องเพลินๆ ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วเธอได้ยินเสียงรถเข้ามาในบ้านใช่แน่ๆต้องเป็นพ่อเธอปิดหนังสือวางไว้บนเตียง ใบหน้ายิ้มแย้มพ่อกลับมาแล้วดีใจจังฉับพลันแพรวก็รีบวิ่งลงไปข้างล่างแล้วเธอก็หยุดเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันมา



"เก่งจังลูกพ่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยอย่างนี้พ่อคงต้องให้รางวัลซะแล้ว"


พ่อยิ้มแย้มเมื่อได้ทราบข่าวว่าลูกสาวคนเล็กสอบได้มหาวิทยาลัยของรัฐบาล


"น่าจะให้รางวัลแกสักหน่อยนะคะคุณ"


แม่เองก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วยรอยยิ้มของแม่ซึ่งแพรวเองไม่มีทางได้

"เอาอย่างนี้เราไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวเลยดีไหมแล้วยัยแพรวล่ะคุณผมไม่เห็นเลย"


พ่อเริ่มสังเกตว่าลูกสาวคนโตไม่ได้อยู่ที่นั่น


"โอ๊ยรายนั้นอย่าไปพูดถึงเลยค่ะคุณวันๆเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องอย่าไปสนใจเลยค่ะ เรื่องไปเที่ยวก็ไม่รู้จะไปหรือเปล่า แม่ว่าเราไปดูกันดีกว่าไหมลูกว่าจะไปเที่ยวไหนกันดีไหมจ๊ะ"


แม่หันไปสนใจลูกสาวคนเล็กแทน


แล้วทั้งสามพ่อแม่ลูกก็พากันไปดูหนังสือท่องเที่ยวแพรวมองภาพนั้นน้ำตาร่วงเผาะๆ


นี่เธอเป็นส่วนเกินของบ้านหรือเปล่า


แพรวเดินออกไปทางด้านหลังบ้านเงียบๆโดยที่ไม่มีใครใส่ใจว่าเธอจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า

แพรวนั่งลงที่โต๊ะที่สนามหลังบ้านคนเดียวท่ามกลางแสงจันทร์


"กำลังคุยกับพระจันทร์อยู่หรือไง"มีเสียงดังมาจากบ้านข้างๆ

ชายหนุ่มยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ที่กำแพงบ้านแพรวหันไปยิ้มให้


"วันนี้กลับมาบ้านช้าจังนะ"แพรวหันไปคุยกับต้นซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเธอเอง


ต้นเป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนของเธอเขาอยู่ข้างเธอเสมอในยามที่เธอมีเรื่องทุกข์ใจ



"ขอไปคุยด้วยนะ"ว่าแล้วต้นก็กระโดดข้ามรั้วมายังบ้านของแพรวเขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเธอ


"เป็นอะไรน่ะทำหน้าไม่สบายใจอย่างนั้น"เขาจ้องมาที่หน้าของเธอ



"เปล่าหรอกก็คิดอะไรเรื่อยๆ"แพรวปฏิเสธ



"เอาอีกแล้วชอบคิดมากอยู่เรื่อยๆเลยนะแพรวต้นบอกแล้วอย่าคิดมาก"

ต้นตำหนิเหมือนเธอเป็นเด็กๆ



"เรา.....เรา......"น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นไว้ตอนนี้มันกลั้นไว้ไม่ไหวเสียแล้ว

"อยากร้องก็ร้องออกมาเลยร้องออกมาให้หมดต้นจะอยู่ข้างๆแพรวเองนะ"

เขากุมมือของเธอเอาไว้เป็นการปลอบใจสักพักแพรวก็หยุดร้องไห้



"ขอบใจมากนะถ้าไม่มีต้นเราก็คงไม่รู้จะไปร้องไห้กับใคร"แพรวเริ่มยิ้มออก



"พี่ต้นคะ"เสียงแพรดังมาจากทางด้านหลังของทั้งสองต้นและแพรวหันไปทางต้นเสียงนั้น



"แพรมีอะไรเหรอ"



"แพรสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ค่ะแล้วพ่อก็กำลังจะพาพวกเราไปเที่ยวต่างจังหวัดค่ะ"

แพรยิ้มแย้มพูดคุยกับต้นโดยที่ไม่หันมาแพรวหรือสนใจเลยสักนิดว่าพี่สาวของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย



"อย่างนั้นแพรวก็ไปกับเขาด้วยสิ"ต้นหันมามองหน้าแพรว



เธออ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร"พวกเรา"ที่แพรหมายถึงนั้นคงหมายถึงแค่พ่อแม่และแพรมากกว่า



"ต้นแพรวขอตัวก่อนนะจะขึ้นนอนแล้วล่ะฝันดีนะ"แพรวลุกขึ้นร่ำลาเพื่อนแล้วก็เดินเข้าบ้านไป

ส่วนแพรอยู่คุยต่ออีกสักพักต้นก็ขอตัวเข้าบ้าน



แพรวกลับมานั่งอ่านหนังสือนิยายของเธอต่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นแพรวดีใจรีบไปเปิดประตู

พ่อคงมาหาเธอสินะแพรวเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้มแต่ทันใดนั้นรอยยิ้มนั้นก็จางไป

เมื่อคนที่เคาะประตูนั้นไม่ใช่พ่อแต่เป็นแพรนั่นเอง



"ขอฉันเข้าไปในห้อ'หน่อยฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่"แพรพูดด้วยน้ำเสียงห้วน



"เข้ามาก่อนสิ"แพรเดินเข้ามาทำท่าทางสำรวจห้องแล้วก็นั่งลงกับเตียงอย่างถือวิสาสะ



"ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่"

แพรวปิดประตูแล้วหันมามองหน้าน้องว่ากำลังจะบอกอะไรกับเธอ



"พี่ต้นน่ะเขาไม่เหมาะสมกับพี่หรอกนะเขาทั้งหล่อเรียนเก่งแล้วก็รวยแล้วดูตัวพี่สิมีอะไรเทียบเขาได้บ้าง

ทางที่ดีพี่อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่าพี่ก็น่าจะรู้ตัวเองดีนะฉันพูดแค่นี้หวังว่าพี่คงจะเข้าใจถ้าไม่โง่จนเกินไป"

ว่าแล้วแพรก็เปิดประตูห้องแล้วก็เดินกลับที่ไปที่ห้องของตัวเองทิ้งให้แพรวงุนงงกับคำพูดทั้งหลายของน้องสาว



หลังจากวันนั้นแพรวพยายามหลบหน้าต้นอยู่ตลอดเวลา

ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่เข้าใจว่าหญิงสาวกำลังพยายามคิดจะทำอะไรกันแน่



"แพรว"

ต้นเรียกเอาไว้ในขณะที่แพรวกำลังเดินจะเข้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงเรียกเธอก็รีบจ้ำอ้าวเพื่อหนีเข้าบ้าน

แต่ไม่ทันต้นที่วิ่งมาดักหน้าเอาไว้



"นี่แพรวกำลังหลบหน้าต้นใช่ไหม"

ต้นจ้องหน้าเธอพยายามจะขอคำตอบ



"มันไม่ใช่อย่างนั้น"แพรวปฏิเสธ



"แพรวแพรวเป็นอะไรไปบอกต้นสิเกิดอะไรขึ้น"

ต้นเริ่มเสียงดังขึ้นเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วในตอนนี้



"แพรวเปล่า"เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรได้แต่ปฏิเสธลูกเดียวทั้งต้นและแพรวเริ่มทะเลาะเสียงดังมากขึ้น



"ต้นรักแพรวนะได้ยินไหมต้นรักแพรว"

เขาพูดเสียงดังและก็ดังมากพอที่แพรที่ยืนอยู่หน้าบ้านจะได้ยินด้วย



แพรวดีใจเหลือเกินที่เธอได้ยินคำนั้นจากปากเขาแต่เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะรับความรู้สึกนั้นได้

แพรวไม่รู้จะทำอย่างไรเธอได้แต่ร้องไห้รู้สึกสับสนไปหมดอ้อมแขนที่แข็งแรงของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกนี้ที่เธอไม่เคยได้จากผู้เป็นพ่อหรือแม่เลยสักครั้งเดียว แพรวรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงแต่นั่นไม่ได้ช่วยให้เธอแก้ปัญหาทุกๆอย่างได้



"พี่แพรวพี่ต้น"แพรตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดทำให้ทั้งสองผละจากกันแพรวรีบปาดน้ำตาทิ้งให้หมด



"พี่ทำอย่างนี้ได้ยังไงกันไหนพี่ว่ายกพี่ต้นให้ฉันแล้วแต่วันนี้กลับจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือไงกัน"

แพรต่อว่า



"นี่มันอะไรกันแพรวต้นไม่เข้าใจ"

ต้นหันมามองหน้าแพรวแววตาของเขาสับสนกับเรื่องที่ได้ยินมาก



"พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นแพร"แพรวส่ายหน้าปฏิเสธ



"พี่พูดสิพี่พูดจำไม่ได้หรือไง"แพรขี้ตู่เอาอย่างนั้นเธอจ้องหน้าแพรวดวงตานั้นแสดงแววเกลียดชัง



"แพรวต้นเข้าใจแล้วแต่ต้นขอบอกอย่างนะต้นมีหัวใจและไม่ใช่สิ่งของที่แพรวจะยกให้ใครก็ได้แพรวใจร้ายมากที่ทำกับต้นอย่างนี้ ในเมื่อแพรวไม่ต้องการต้นก็น่าจะบอกกันดีๆไม่น่าทำกันอย่างนี้เลยต้นเสียใจจริงๆ" ต้นมองแพรวด้วยสายตาที่เย็นชา



แล้วคำว่า"รัก"ล่ะหายไปไหนกันแพรวไม่อาจจะทนอยู่ตรงนั้นได้



ต้นเดินจากไปไม่ฟังแม้เสียงเรียกของเธอแพรวจึงวิ่งเข้าบ้านไปแต่แพรยังคงตามเข้ามาในห้องรับแขกอีก



"เธอทำอย่างนี้ทำไมกันแพร"แพรวร้องไห้เธออยากจะรู้นักว่าน้องสาวของเธอทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้



"ฉันอยากจะให้พี่เจียมตัวเอาไว้ว่าพี่น่ะมันเป็นใครกันพี่ไม่เหมาะกับเขาฉันเคยเตือนพี่แล้ว พี่เองก็น่าจะรู้ตัววันนั้นฉันคงพูดไม่ชัดเจนแต่วันนี้ฉันจะขอประกาศฉันรักพี่ต้น และจะทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะทางใดก็ตามให้เขารักฉัน"



"เธอมันปีศาจชัดๆ"มือของเธอฟาดลงไปบนใบหน้าของน้องสาวเสียงดังเพี๊ยะ



"เกินไปแล้วนะนังแพรวแกกล้าตบลูกชั้นเหรอ"เสียงแม่ตะวาด



"แพรวทำร้ายแพรค่ะแม่แม่ต้องช่วยแพรนะคะ"แพรรีบวิ่งแจ้นไปหลบหลังแม่และฟ้องแม่ทันที



"แกกล้าดียังไงมาทำอย่างนี้กับลูกชั้นสู้น้องไม่ได้อิจฉาน้องแล้วทำร้ายร่างกายน้องหรือไงมากไปแล้วนะ" แม่ฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าสีขาวซีดของแพรวเป็นการเอาคืนที่แพรวตบหน้าน้องสาว

แพรวกุมใบหน้าของตัวเองไว้น้ำตาไหลพรากอย่างกั้นไม่อยู่



"คำก็ลูกชั้นสองคำก็ลูกชั้นแพรวถามจริงๆเถอะเเม่เก็บเเพรวมาเลี้ยงหรือป่าวเปล่าทำไมเเม่ไม่เคยรักเเพรวเลย เเม่ไม่เคยเห็นเเพรวเป็นลูกเลยใช่ไหมคะเเพรวสู้น้องไม่ได้เเพรวไม่เคยทำให้เเม่ภูมิใจไม่เคยทำให้เเม่ดีใจเลยใช่ไหมคะ เเม่ถึงไม่รักเเพรวใช่ไหมคะเเม่"เเพรวมองหน้าเเม่จ้องมองหน้าผู้เป็นเเม่หาคำตอบ



ผู้เป็นเเม่อึ้งเมื่อเห็นภาพนั้นเเต่เเล้วก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

"เเกอย่ามานอกเรื่องนะ"เเม่ตวาด



เเพรวรู้สึกเสียใจมากที่เเม่ไม่เคยเห็นความรู้สึกของเธอเลยเธอจึงเดินออกจากบ้านไป

เเต่ยังคงได้ยินเสียงเเม่ที่ตะโกนด่าไล่หลังมา



เเพรวเดินมากดออดบ้านของต้นพี่เดือนคนทำงานบ้านเดินออกมาเปิดประตูเเละให้เธอรออยู่สนามหน้าบ้าน ต้นเดินมาพบเธอเเล้วเเววตาของเขาที่มองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน



"ต้นเเพรวขอโทษเเต่เเพรวขอยืนยันว่าเเพรวไม่เคยยกต้นให้ใคร เเพรวรักต้นรักเสมอเเละจะรักตลอดไป"เธอพูดกับหลังของเขาเพราะต้นไม่เเม้เเต่จะหันหน้ามามองเธอ



"เก็บคำว่ารักของเเพรวไว้เถอะต้นซึ้งใจกับมันมากกลับไปได้เเล้วต้นมีงานต้องทำ"เขาตัดบท



เเพรวรู้สึกเสียใจที่เเม้เเต่คนที่เคยบอกว่าจะอยู่ข้างเธอก็ยังเย็นชากับเธอวันนี้เเพรวไม่เหลือใครอีกเเล้ว

เเพรวมองภาพชายหนุ่มที่เธอรักมากที่สุดก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมน้ำตาเงียบๆ



ต้นเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวเลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มีโอกาสมองเห็นเธอในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่



คืนนั้นขณะเเพรวเขียนจดหมายไว้สองฉบับวางไว้บนโต๊ะ

เเล้วเธอก็เดินลงไปข้างล่างพบเเม่กำลังนั่งดูทีวีอย่างมีความสุขกับเเพร

เธอนั่งพับเพียบกราบลงที่เท้าเเม่ไม่เข้าใจการกระทำของเธอจึงเอาเท้าหนี

เเพรวเงยหน้าขึ้นมองเเม่"ขอให้เเพรวได้มีโอกาสกราบเเม่เป็นครั้งสุดท้าย"

เธอพูดทั้งน้ำตาเเล้วก็เดินจากไปขึ้นห้องนอน



เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อกลับมาบ้านพร้อมกับตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ตพ่อเปิดประตูห้องนอนของเเพรว

เพื่อจะพาลูกสาวคนโตไปเที่ยวด้วยเเต่สิ่งที่เห้นคือเเพรวยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม



"เเพรวไปเที่ยวกันเถอะลูกเอาเเต่นอนอยู่เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอกปกติเราไม่นอนขี้เซาอย่างนี้นี่"

พ่อเดินยิ้มมานั่งลงที่เตียงข้างๆเธอเเต่เเพรวยังคงนอนไม่ลุกขึ้นมาคุยมายิ้มกับพ่อเหมือนเดิม



"เเพรวเเพรว"พ่อเรียกย้ำอีกมือที่กำอยู่เเบออกยานอนหลับจำนวนมากอยู่ในมือของเธอพ่อมองเเล้วหน้าซีด



"เเพรวไม่นะเเพรวลูกอย่าทำอะไรโง่ๆนะเเพรว"พ่อตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจ



พ่อกอดร่างที่ไร้วิญญาณของเเพรวเอาไว้เเน่นบัดนี้เธอไม่ต้องเเบกความทุกข์อีกเเล้ว

ไม่ต้องเสียใจเเละไม่ต้องมีน้ำตาอีกมีเพียงซองจดหมายสองซองที่พอจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด



กราบเท้าคุณพ่อคุณเเม่

ขณะที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้เเพรวคงไม่อยู่ที่นี่เเล้ว

เเพรวอยากจะขอโทษในทุกๆอย่างเเม้เเพรวจะไม่ใช่ลูกที่ดีไม่เคยทำให้พ่อเเละเเม่ภูมิใจ

เเพรวอยากเห็นรอยยิ้มของเเม่สักครั้งที่ยิ้มให้เเพรวเเต่ตอนนี้เเพรวคงไม่มีโอกาสนั้นเเล้ว

เเม้เเม่จะไม่เคยรักเเพรวเเม้เเม่จะว่าเเพรวเเต่เเพรวไม่เคยโกรธเเม่เลยสักครั้ง

เเพรวรู้ตัวดีว่าเเพรวไม่เคยทำให้เเม่ชื่นใจจะเเปลกอะไรถ้าเเม่จะไม่รักเเพรวเเพรวรู้ฐานะของตัวเองดี

วันนี้ไม่มีเเพรวเเม่คงสบายใจเเพรวหวังว่าการตัดสินใจของเเพรวครั้งนี้คงจะถูกใจเเม่

อย่างน้อยก็มีสักครั้งที่เเพรวได้มีโอกาสทำเพื่อเเม่

เเพรวอยากบอกพ่อกับเเม่ว่า

"เเพรวภูมิใจค่ะที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับเเม่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรืออะไรจะเปลี่ยนเเปลงไป

ไม่ว่าเเพรวจะไปอยู่ที่ไหนเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหลืออยู่เเละจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปคือเเพรวรักพ่อกับเเม่ค่ะ"

รักเสมอจากลูกสาวคนโต

เเพรว.



"เเพรวไม่นะลูกไม่"พ่อยังคงร้องไห้เสียใจกับการจากไปของลูกสาวคนโต



"เเพรววววววววว........."เสียงของผู้เป็นเเม่ร้องไห้เธอไม่น่าเลย

ต้นเหตุที่ทำให้เเพรวตัดสินใจอย่างนี้ก็คือเธอเธอคนเดียวเเม่ร้องไห้เสียใจกับการกระทำของตัวเอง

"เเพรวลูกรักเเม่ขอโทษที่ไม่เคยใส่ใจลูกไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของลูก

เเม้ลูกจะไม่เคยทำอะไรให้เเม่ภูมิใจเเต่เเม่ก็รักลูกเเม่ขอโทษลูกเเพรว...ลูกอยากเห็นเเม่ยิ้มใช่ไหมจ๊ะ

เเม่จะยิ้มให้ลูกเห็นนะลูกเเม่จะเอาใจลูกทุกอย่างที่ลูกต้องการเลยขออย่างเดียวอย่าทิ้งเเม่ไปนะลูก

กลับมาหาเเม่สิลูกเเพรวววว"ผู้เป็นเเม่ร้องไห้คร่ำครวญต่อร่างที่ไม่ไหวติงของลูกสาว

เเม่กอดเเพรวเอาไว้เเน่นนี่เเหละที่เธออยากได้มานาน



ต้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าพี่เดือนยื่นซองสีชมพูให้เขาทำให้เขารู้สึกเเปลกใจมากว่านั่นคืออะไร

"จดหมายจากคุณเเพรวค่ะ"พี่เดือนบอกเเค่นั้นต้นรับมาอย่างงุนงงเขาค่อยๆเเกะจดหมายออก

เห็นใจความในจดหมายว่า



ถึงต้นคนที่เเพรวรักมากที่สุด

เเม้ต้นจะไม่ยอมรับคำว่ารักจากเเพรวเเต่เเพรวก็ยังยืนยันว่าเเพรวรู้สึกเช่นนั้น

เเพรวรักต้นเเละรักมานานเเล้วต้นเป็นคนเเรกเเละคนเดียวที่อยู่ข้างเเพรวในยามที่เเพรวท้อเเท้เเละหมดกำลังใจ เเละเป็นคนเดียวที่เเพรวรักเเพรวดีใจมากที่ได้ยินว่าต้นเองก็รักเเพรวเช่นกัน

เเต่ต่อไปนี้จะไม่มีเเพรวที่ขี้เเยต้องร้องไห้ให้ต้นคอยปลอบอีกเเล้ว

เเพรวรักต้นเสมอนะเเละจะรักตลอดไปไม่ว่าเเพรวจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

รักตลอดไป

เเพรว..



"เเพรวเอามาให้หรือครับพี่เดือน"ต้นหันมาถาม



"เปล่าหรอกค่ะคุณวินิตคุณพ่อของเธอเอามาให้ค่ะคุณเเพรวเธอเสียเเล้วค่ะ"

"เเพรวตายเเล้ว"คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของเขา



"ไม่จริงเเพรวไม่ตายไม่........."ต้นร้องอย่างบ้าคลั่ง



หลังจากได้รู้จากพี่เดือนว่าเเพรวกินยานอนหลับเกินขนาดจนเสียชีวิตเมื่อคืนเขาเองก็มีส่วนผลักดันให้เธอทำเช่นนั้น



เขายืนค้างไร้ความรู้สึกใดๆเเต่เเล้วก็มีลมผ่านมาเย็นๆวูบหนึ่ง

เเล้วก็กลายเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น



"ต้นเเพรวรักต้นที่สุดเเพรวอยากอยู่กับต้นอยากให้ต้นอยู่ข้างๆเเพรวเเต่เเพรวคงทำไม่ได้เเล้ว

เเพรวต้องไปเเล้วถึงเวลาของเเพรวเเล้ว"



เเพรวกอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายเเล้วจากไปต้นรู้สึกได้ว่านั่นคือเเพรวเเต่เขาคงไม่มีทางรั้งเธอไว้ได้อีกเเล้ว

เขาเป็นคนที่อยู่ข้างๆเธอคอยดูเเลเธอให้ความรักกับเธอ



เเพรวเองรักก็เขาเเต่วันนั้นเขากลับปฏิเสธความรู้สึกของเธอทำลายความรู้สึกของเธออย่างไม่ไยดี

วันนี้สวรรค์คงลงโทษเขาเเล้วเเพรวจากไปเเล้วเขาไม่มีโอกาสได้ดูเเลผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดอีกเเล้ว

สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือคำว่ารักกับเวลาที่สายไปนั่นคือบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้.





ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ จาก 

อ่านเพิ่มเติม