"สิบล้อประสานงาทัวร์ พลิกดิ่งเหวตายเรียบ"
เพียงอ่านพาดหัวข่าว แล้วพลิกเห็นภาพผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้พร้อมชื่อ หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวตัวชาวูบ ชื่อนั้นดังก้องสะท้อนในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเข่าอ่อนทรุดกอง คล้ายว่าจะสิ้นสติ ความเสียใจ ความรู้สึกผิดมหันต์ ถาโถมเข้าใส่ ก่อนจะปล่อยโฮออกมา...
* * * * *
ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา ซึ่งนับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงสภาพป่าสมบูรณ์
บ้าน หลังกะทัดรัดหลังนั้นซ่อนตัวอยู่ใกล้เชิงเขา จำเนียร อาศัยอยู่เพียงลำพังมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วนับแต่ แพร ลูกสาวคนเดียวไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ...และไม่เคยกลับมาเยี่ยมเลย จะโทรมาก็แต่ตอนปลายเดือน หรือยามเงินขาดมือ นานๆ ครั้งจึงจะโทรศัพท์มาคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบสักหน นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกพันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด
เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่ออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว
ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดทีวีดูข่าว ไปพร้อมๆ กับทานข้าว
เธอ เหลือบมอง กรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน ซึ่งวางตั้งไว้ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม...เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง
ครั้งหลังที่โทรมา ลูกบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย มิเคยบกพร่อง แม้จะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง...
ครั้นทานเสร็จ เก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน...
นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย
"แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ
ลูก คงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่...จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่พร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบโตเป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว
"แพร หนูอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามเมื่อครั้งลูกขึ้นมัธยมห้า
"หนู อยากเรียนต่อกฎหมายจ้ะแม่ หนูอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคนที่เขาไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีเลยจ้ะแม่" นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก
"แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้ จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำไปก่อน แล้วค่อยเรียนต่อทางไปรษณีย์เอา อีกอย่าง หนูจะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก
"อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า ลูกก็เห็น เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก"
วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯได้...
จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในไม่กี่วัน เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนเมื่อไปเรียนต่อ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนที่กรุงเทพฯ อากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า
"ป้าเนียร...ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกเธอตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่
"อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ"
"ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึ" ถามพลางชะเง้อขึ้นไปบนเรือน
"ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง"
"เอ..ก็ไหนแพรบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านนี่นา...แต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ"
"ไปทำไมล่ะลูก"
"อ้าว..! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพร เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาเยี่ยมบ้าน และชวนพ่อแม่กับญาติๆ ไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรเขารับวันจันทร์"
"จริง เหรอลูก" เธอเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้น "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ นี่ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา"
"แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ"
"ก็ น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพักนั่นแหละ ป้าว่า เดี๋ยวป้าถามคนแถวนั้นก็ได้"
"ถ้างั้นหนูก็ไม่ห่วงละ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม จะได้ไม่ร้อน เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมง หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...งั้นหนูลาป้าล่ะนะ พ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา
ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก...
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน โดยมีใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน
ฝนหมาดฟ้าไปพักใหญ่ พร้อมกับเวลาผ่านล่วงเข้าสู่วันใหม่ หลายชีวิตซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาพริ้มตาอย่างสุขใจ
..............................................
ตึก สูงหลังนั้นแฝงกายอยู่หลังชุมชนอันหนาแน่น ติดชิดกับคลองระบายน้ำสายเล็กๆ สีดำสนิท ห้องพักหลายสิบห้องถูกจัดสรรให้เป็นที่เช่าพักสำหรับสตรี
บน ชั้น 3 เวลานี้มีเพียงห้องพักมุมซ้ายสุดเท่านั้น ที่ไฟยังคงเปิดสว่าง หญิงสาวเจ้าของห้องเอนกายกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียง ผ้าแพรห่มคลุมอยู่เหนืออก ใบหน้ารูปไข่ จมูกรั้นเชิดกับดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสวยได้รูป คิ้วเข้มรับกับผมดำขลับประบ่า มันทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครในบรรดาเพื่อนสาวที่เคยเรียนร่วมกัน จนได้รับเลือกให้เป็นดาวประจำคณะและดาวของชั้นปี เหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่ต้องตาของทั้งเพื่อนชายและรุ่นพี่จำนวนมาก
ทว่า ในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาผูกไมตรีเห็นจะมีเพียงธันวาร์เท่านั้น ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่สุภาพ...ให้เกียรติ...รักเธอเสมอต้นเสมอปลาย ที่สำคัญ เขาเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง อันเป็นที่แน่นอนว่าหากเธอลงเอยกับเขา ชีวิตนี้ย่อมเพียบพร้อมเปี่ยมสุข และหลีกพ้นจากสิ่งที่เธอได้พยายามตะเกียกตะกายหนีมัน
ตัวตนของเธอ ที่ชายหนุ่มและเพื่อนๆได้รับรู้จากปากของเธอเองคือ เป็นลูกสาวนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูทางภาคเหนือ ขณะที่สภาพที่พักของเธอ ก็ไม่ได้หรูหราดูดีหรือสะดวกสบายมากนัก ต่างจากเพื่อนสาวคนอื่นๆ ที่บอกเล่าถึงสถานะทางครอบครัวในระดับเดียวกันกับเธอ ล้วนแต่อาศัยอยู่คอนโดหรูทั้งสิ้น ช่างขัดแย้งกับภาพภายนอกที่เธอพยามยามสร้าง...สิ่งนี้มันทำให้เธอรู้สึก สับสนในตนเอง...เฝ้าแต่หวาดระแวงเสมอว่า จะทำเช่นไรหากเพื่อนๆ และเขารู้ความจริง!
หญิง สาวเหลือบมองดูภาพถ่ายในวัยเยาว์ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา จะเป็นใครเสียอีกเล่า...นอกจากคน ที่เธอเรียกว่า "แม่"
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามลบภาพแห่งความทรงจำดีๆ กับสิ่งที่ได้รับจากสตรีผู้นี้ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจัดสรร แววตาแห่งความอาทร ความทุกข์ร้อนเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจ...แต่กลายกลับเป็นว่า แม่ทุกข์ทนยิ่งกว่า...
เธอยอมรับว่าไม่มีใครจะเลิศเลอ และปรารถนาดีต่อเธอเท่ากับแม่ แต่สิ่งที่เธอไม่อาจยอมรับได้คือ ฐานะแท้จริงของทางบ้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ แล้ว เธอด้อยเหลือเกิน ฉะนั้น ถึงจะต้องหลอกตัวเอง แต่เธอยินดีที่จะเลือกเช่นนั้น เป็นเหตุผลสำคัญที่เธอไม่บอกกล่าวให้แม่มางานรับปริญญาในอีก 2 วันข้างหน้า
"เสียดายจัง คุณแม่มางานรับปริญญาของแพรไม่ได้แล้วล่ะ" เธอนึกถึงการสนทนาหลังทานอาหารเย็นที่ร้านหรูกลางกรุงกับคนรัก
"อ้าว..ทำไมล่ะครับ...วันสำคัญอย่างนี้คุณแม่น่าจะปลีกตัวมานะครับ"
"คง สุดวิสัยค่ะ เพราะท่านโทร.มาบอกแพรเมื่อตอนบ่ายว่า ยังอยู่ที่เดนมาร์กอยู่เลย คุณน้าของแพรป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ที่นั่นไม่มีใคร คุณแม่เลยต้องอยู่ดูแล กลับมาไม่ทันค่ะ"
เธอนึกขัน กับท่าทีของชายหนุ่มที่เชื่อเธออย่างสนิทใจ แต่ส่วนลึกรู้สึกผิดและเริ่มสับสนมากขึ้นว่าเธอจะโกหกเขาไปได้นานเพียงใด ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริง เธอพยายามบังคับไม่ให้ใจคิดกังวล หญิงสาวถอนใจพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ
"ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่ หนูจำเป็นค่ะ" กรอบรูปถูกผลักงคว่ำลงอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหญิงสาวจะปิดไฟ แล้วพลิกตัวหันกลับหลับตาอย่างไม่ไยดี...
............................................
แสงทองเริ่มแต้มขอบฟ้า อากาศวันนี้ช่างสดใส จำเนียรเสร็จกิจจากการรดน้ำ และริดใบในสวนกุหลาบหลังบ้านแล้ว เธอยืนมองดูฟ้าซึ่งรู้สึกว่าสวยกว่าทุกวัน ด้วยว่ายามนี้หัวใจเปี่ยมด้วยความสุข ราวกับว่าจะโบยบินได้
เย็น วันนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ... ลูกคงจะดีใจที่ได้เห็นเธอไปแสดงความยินดี แม้ว่าสุขภาพจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็พอฝืนทนไปได้ เพราะคิดว่าหากไม่ไปลูกคงเสียใจแย่... ครั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรศัพท์ไปบอกลูก ว่าแม่กำลังจะไปให้กำลังใจ...แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่า หากไปโดยไม่บอกกล่าว เมื่อเจอกันลูกจะต้องแปลกใจ และน่าจะดีใจยิ่งกว่า...เธอคิดเช่นนั้น แล้วระบายยิ้มอย่างมีความสุข กับภาพที่จินตนาการถึงเหตุการณ์ชั่วเวลาที่ได้พบกัน
หลังทานข้าวเช้าเสร็จ ก็ เริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง เธอรู้สึกใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าชุดที่ดูพิเศษแทบจะไม่มีเลย นึกตำหนิตัวเองว่า ทำไมนะ..เมื่อวานก็เข้าเมือง น่าจะซื้อใหม่สักชุด แต่ครั้นคิดดูอีกที เก็บเงินไว้เผื่อขาดเหลืออะไรลูกอาจต้องใช้จ่ายก็น่าจะดีกว่า ผ้าซิ่นไหมลายสวย ถึงสีอาจจะซีดไปสักหน่อย กับเสื้อผ้าฝ้ายสีม่วงหม่นลายมัดย้อม มีระบายลูกไม้แบบเรียบๆ สวมสร้อยทองเส้นเล็กๆ ที่หลายคนมองว่าไม่ต่างอะไรกับหนวดกุ้งเข้าไปสักหน่อย ชุดนี้ก็น่าจะสมฐานะดีและเพียงพอแล้ว
* * * * *
เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จำเนียรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกสาวพบ ผู้คนละลานตาไปหมด นิสิตในชุดครุยและญาติพี่น้องถ่ายรูปร่วมกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส...นับเป็น ครั้งแรกที่เธอมามหาวิทยาลัยของลูก จำได้แต่เพียงที่หนูลำไยบอกว่า ต้องไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์ นึกได้จึงถามยามที่ประตูแล้วเดินไปตามคำบอกกล่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
"หนุ่มจ๊ะ...ตรงนี้คณะนิติศาสตร์ ใช่มั้ย" เธอถามนิสิตชายคนหนึ่งที่เหมือนยืนรอใครอยู่
"ใช่ครับ"
"งั้นพอจะรู้จักจันทพรรึเปล่าจ๊ะ เอ่อ แล้วเห็นบ้างมั้ย"
"อ๋อ..รู้จัก สิป้า คนดังน่ะ ใครก็รู้จัก..แถมมีแฟนรวยอีกต่างหาก" ว่าแล้วก็กวาดสายตา แล้วหันมาบอกพร้อมชี้ทาง "โน่นแหน่ะ กำลังถ่ายรูปอยู่ตรงซุ้มดอกไม้หน้าตึกครับป้า"
เธอมองตาม พร้อมขอบคุณ แล้วรีบสืบเท้าตรงไปยังที่หมาย พบลูกสาวในชุดครุย ช่างสวยสง่า ห้อมล้อมด้วยเพื่อนๆ และชายหนุ่มเคียงข้างคอยซับเหงื่อให้ เธอปรี่เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ แล้วเรียก
"ลูกแพร"
หญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม หันขวับมายังต้นเสียง ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด...นึกไม่ถึงว่าแม่จะมา เพื่อนทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลาง คนในชุดมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่ชวนให้คิดว่า นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ
"เอ่อ..ขอโทษนะคะ หนูว่าคุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางอย่างไม่ไยดี ไม่มีแม้จะเหลือบแลหันกลับมามอง..........!!!!!
จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูก...จากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอม... บรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนโตเป็นผู้ใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้...เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ
เธอเหม่อลอยดังคน ไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อท้นท่วมใจ แล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ แล้วเดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย...
แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า...
* * * * *
รถสปอร์ตคันงาม จอดนิ่งที่ปากทางเข้าหน้าหอพักดังเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่นั่งซึมเหม่อมาเกือบตลอดทาง จนผิดสังเกต
"จะไม่หาอะไรแถวนี้ทานซักหน่อยเหรอครับ วันนี้คุณแทบไม่ทานอะไรเลยนะ...เดี๋ยวดึกๆ หิวแย่"
"ไม่ล่ะค่ะ แพร ไม่หิว" เธอตอบเสียงเบาหวิว
"อืมม ถามจริงๆ เถอะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ"
"ไม่ ค่ะ...ไม่มีอะไร แพรไม่เป็นอะไร...เอ่อ แพรรู้สึกเพลียๆ เท่านั้น ขอบคุณนะคะที่มาส่ง...ดอกไม้ ของขวัญ ฝากไว้ที่รถคุณก่อนละกันนะคะ ขี้เกียจถือ"
"ก็เดี๋ยวผมหอบไปส่งหน้าหอพัก แล้ววานแม่บ้านช่วยขนให้ไง"
"ไม่เป็นไรค่ะ" เธอตอบสวนกลับมาเสียงขุ่น
"โอเค...งั้นคืนนี้ผมไม่โทรมารบกวนละกัน...พักผ่อนมากๆ นะครับ" ว่าพลางเอื้อมบีบมือเธอเบาๆ
ชาย หนุ่มระบายลมหายใจช้า ก่อนเปิดประตู อ้อมไปอีกด้าน เพื่อเปิดประตูให้...หญิงคนรักก้าวลงจากรถ สะพายกระเป๋าถือ เดินโรยแรงไปตามทางแคบๆ ที่ทอดไปสู่ทางเข้าประตูหอพัก ปล่อยให้ชายหนุ่มคิ้วย่นมองตาม ก่อนขับรถออกไปภายหลังหญิงสาวผ่านประตูรั้วเข้าไปแล้ว
หลังอาบน้ำ หญิงสาวขึ้นเตียงเตรียมจะนอน
แต่มีบางสิ่งที่วิ่งพล่าน อยู่ในหัว คอยรบกวนใจ...ชวน
ให้หวนคิดถึงภาพเก่าๆ เหตุการณ์แต่ครั้งเยาว์วัย กับความรัก ความห่วงใย
ที่เคยได้รับมิเคยขาดแคลน ยิ่งภาพ และคำที่เอ่ยเมื่อเช้า
ทวนซ้ำในโสตสำนึกมากเท่าใด ก็ยิ่งเหมือนกรีดใจตนให้เป็นแผลลึกเท่านั้น
ทำไม...ทำไม ทำไมฉันพูดออกไปอย่างนั้น ฉันพูดออกไปได้อย่างไร..ความรู้สึกผิดโถมเข้าใส่ แม้ว่าใจของเธอจะพยายามปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน...
หญิง สาวลุกขึ้นมาเปิดตู้เสื้อผ้า เหลียวหาเสื้อไหมพรมสีครีมที่ซุกอยู่มุมหนึ่งด้านล่างของตู้ด้านซ้าย ซึ่งไม่เคยเหลียวแลมานานแล้ว เธอคว้ามาสวม กอดกระชับ ดั่งว่าจะซึมซับอุ่นไอรักที่แม่ถักทอให้เธอผ่านทุกเส้นใย...อันเสมือนตัวแทน อ้อมกอดของแม่ที่โอบลูกไว้ยามไกลห่าง...
หญิง สาวทิ้งตัวลงบนเตียง..หันคว้ากรอบรูปข้างเตียงที่ถ่ายร่วมกับแม่มากอดไว้ พร้อมกับทำนบน้ำตาที่พังทลาย พร่ำบอกใครคนนั้นที่รักเธอ แม้ไม่อาจได้ยิน
"แม่ จ๋า...แพรขอโทษ แพรผิดไปแล้ว...แพรเสียใจ...แพรทำให้แม่เสียใจ แพรทำให้แม่ต้องอายเพื่อนๆ แพร..แพรเสียใจ....ฮือ.อ.อ.อ.แพรเสียใจ....แพรผิดไปแล้ว....แม่อภัยให้แพรนะ แม่ ฮือ.อ.อ.อ.อ.อ."
หญิงสาวพลิกตัวซบหน้าลงกับหมอนปล่อยโฮออก มา...พร่ำเพ้อไม่เป็นคำ หากน้ำตาช่วยชะล้างความผิดมหันต์นี้ได้...เธอก็อยากให้เป็นเช่นนั้น และอยากให้แม่ได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้วลูกของแม่เสียใจมากเพียงใด....
* * * * *
เวลาแห่งการระบายใจ...ผ่านไปนานเท่าใด และเธอผล็อยหลับไปแต่เมื่อใดไม่รู้ กระทั่งแสงที่สาดมาทางหน้าต่างปลุกให้เธอรู้สึกตัว...หญิงสาว หายใจรวยริน...พร้อมความคิดแรกที่แล่นเข้ามา
ต้องกลับไปหาแม่...กลับไปหาคนที่รักเธอที่สุด กลับไปเพื่อพบหน้า และสารภาพความผิด ด้วยสำนึก และกราบลงแทบเท้า เพื่อขออภัย...ขอให้แม่ยกโทษ...และเชื่อแน่ว่า แม่ต้องให้อภัย...
* * * * *
แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมง จนเกือบจะค่อนคืนแล้ว...
ผู้คน ในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามา ยามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่พรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าไรแล้ว
เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน...ยังจดจำได้ไม่รู้เลือน
"เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียรหน่อยจ้ะ" สามีเอ่ยขึ้นขณะนั่งเล่นที่ระเบียงหลังอาหารเย็น
"เรื่องอะไรจ๊ะพี่"
"เราอยู่กินกันมาก็นาน พี่ว่าเนียรคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้..."
"...พี่ เห็นเนียรชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้..." เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ "...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่า เด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ"
"จริง เหรอพี่..." เธอยิ้มกว้างดวงตาวาวโรจน์ "เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้น ที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันว่า เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งไว้เยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกัน...ถ้าเราขอมา เลี้ยงซักคน คงจะดี มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก"
"งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ" สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือ
วันที่ไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี...
ทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า สายตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก...
เธอ รักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม เฝ้าถนอมดังแก้วตาดวงใจ...คอยดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก...แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง...
ไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า...เมื่อเวลาผันเปลี่ยน ความรักที่เด็กหญิงซึ่งเธอไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้
คิดถึงเพียงเท่านี้ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากตอนหน้าของรถ ประสานกับเสียงบีบแตรดังยาว และตามมาด้วยเสียง โครม!!!
แล้ว....สติของเธอก็ดับวูบ!!!
* * * * *
วันถัดมา หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับกรอบบ่าย แทบทุกฉบับ พาดหัวข่าวใหญ่คล้ายๆ กันว่า...
"สิบล้อประสานงาทัวร์ พลิกดิ่งเหวตายเรียบ"
................................................
แด่จิตวิญญาณแห่งความเป็น "แม่"
"แม่" ผู้มีรักแท้...รักโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ขอบคุณเรื่อง(ไม่)สั้นดีๆ จาก sapparos.com
สถานะ... กูเจ็บ.
โพสต์โดย : สถานีคำคม ~ สถานี คำคม
เพจ
รักที่เธอลืม โพสต์โดย
สถานีคำคม เมื่อ
วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556