Animated Dragonica Star Glove Pointer

ของขวัญที่มองไม่เห็น







ผู้โดยสารบนรถประจำทางกำลังมองผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งที่มีไม้เท้าขาวอยู่ในมืออย่างเห็นอกเห็นใจ เธอเดินขึ้นบันไดรถอย่างระมัดระวังหลังจากชำระค่าโดยสารให้แก่พนักงาน แล้วใช้มือคลำหาที่นั่งค่อย ๆ ก้าวลึกเข้าไปตามช่องทางเดินจนกระทั่งเขาจะเป็นฝ่ายกระซิบบอกเมื่อพบที่ว่างเธอจึงนั่งลงวางกระเป๋าถือไว้บนตักและเก็บไม้เท้าเอามาพาดไว้บนหน้าขา

หนึ่งปีแล้วที่ซูซานวัย 34 ปี ได้กลายเป็นคนตาบอด การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ทำให้เธอต้องตกอยู่ในโลกมืดไม่อาจมองเห็นได้อีก ทำให้เธอรู้สึกโกรธแค้น รู้สึกสูญเสีย และรู้สึกสงสารตัวเอง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ก่อนนั้นซูซานสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่บัดนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยโชคชะตาทำให้กลายเป็นคนไร้ความสามารถช่วยตัวเองไม่ได้ กระทั่งเธอกลายเป็นภาระของคนรอบข้าง

“ทำไมฉันต้องเป็นเช่นนี้” ซูซานพร่ำบ่นกับตัวเองตลอดเวลา....

เธออยากจะสู้คดี... หัวใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธแต่ไม่ว่าจะร่ำไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือสวดมนต์วิงวอนเพียงใด เธอก็ตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า...

“สายตาเธอนั้นไม่มีวันกลับคืนมาดีได้ดังเดิมอีกแล้ว....”

เมฆหมอกแห่งความหดหู่ได้ปกคลุมจิตใจที่เคยมองโลกในแง่ดีของซูซานไปเสียแล้ว เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวันก็ดูจะสั่งสมถมเพิ่มความหงุดหงิดและเหนื่อยอ่อนให้เธอเกินจะแบกทานไหว ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอต้องผูกพันอยู่กับมาร์กผู้เป็นสามีแต่เพียงผู้เดียว มาร์กเป็นทหารอากาศ ซึ่งรักซูซานจนหมดหัวใจ...

เมื่อแรกที่เธอต้องสูญเสียการมองเห็นไปนั้น เขาได้แต่นั่งมองภรรยาจมอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า มาร์กก็เกิดปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเธอกลับมาเป็นคนเข็มแข็งและมีความมั่นใจในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น จากประสบการณ์ด้านการทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อเผชิญกับสถานการณ์อันละเอียดอ่อน เขาพบว่านี่เป็นศึกหนักที่ยากที่สุดเท่าที่เคยเผชิญมา.....

เมื่อซูซานพร้อมกลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง แต่ปัญหายังมีอยู่ว่า “เธอจะเดินทางไปทำงานได้อย่างไร?”

ก่อนหน้านี้เธอเคยใช้บริการรถประจำทาง แต่ยามนี้เธอกลับวิตกที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยลำพัง... มาร์กผู้เป็นสามีจึงอาสาขับรถไปส่งเธอ แม้ทั้งคู่จะทำงานกันคนละมุมเมืองเลยก็ตาม ความคิดดังกล่าวทำให้ซูซานสบายใจขึ้น ทั้งยังเป็นการสนองความปรารถนาของมาร์กที่อยากดูแลคู่ชีวิตผู้ขาดความมั่นใจที่จะเผชิญกับสถานการณ์อันเปราะบางที่สุดเช่นนี้

ในไม่ช้ามาร์กก็ตระหนักว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่าวุ่นวายและสิ้นเปลืองมากเกินไป

“ซูซานต้องกลับไปขึ้นรถประจำทางอีกครั้ง” มาร์กสรุปกับตัวเอง....

แต่เพียงแค่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับเธออย่างไร ก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจเสียแล้ว เนื่องจากเพราะเธอต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด บวกกับยังเป็นเจ้าอารมณ์อยู่มาก “เธอจะคิดอย่างไรนะ” มาร์กปรารภกับตัวเอง...

เหตุการณ์ก็ดูเหมือนไม่ค่อยดีเมื่อซูซานกลัวที่จะกลับมานั่งรถประจำทางอีกครั้ง

“ฉันตาบอดนะ” ซูซานกล่าวอย่างขมขื่น...

“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไปไหน... มาร์ก... คุณรู้สึกไหมว่า ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังทอดทิ้งฉัน”

ซูซานกล่าวด้วยความรู้สึกน้อยใจ....

หัวใจของมาร์กผู้เป็นสามีพลอยปวดร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาจึงสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกเช้าและเย็นจนกว่าเธอจะค่อย ๆ คุ้นกับการเดินทางด้วยรถประจำทาง....

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ผู้โดยสารบนรถประจำทางสายนั้นได้เห็นมาร์กในเครื่องแบบทหารเต็มยศ ปรากฏร่างอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอทั้งเช้าและเย็นทุกวัน....

มาร์กเฝ้าอดทนสอนให้เธอรู้จักใช้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ยิน เพื่อจะได้รู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ใด รวมทั้งยังสอนให้เธอรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และช่วยผูกมิตรกับพนักงานขับรถ เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้ช่วยดูแลหาที่นั่งให้เธออีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้เขายังทำให้เธอหัวเราะได้แม้ในวันที่ดูจะเป็นปัญหา เช่น ตอนที่เธอหกล้มขณะเดินลงรถ หรือตอนที่เธอทำกระเป๋าถือหล่นจนเป็นผลให้เอกสารทั้งหลายทั้งปวงร่วงเกลื่อนทางเดิน ทั้งคู่จะออกเดินทางด้วยกันตอนเช้าแล้วมาร์กก็จะนั่งแท็กซี่กลับไปทำงานตามปกติ

ถึงแม้ว่านี่จะดูเป็นการสิ้นเปลืองและทำให้มาร์กเหน็ดเหนื่อยมากกว่าความคิดแรก แต่เขาก็รู้ดีว่ามีแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอสามารถขึ้นรถประจำทางได้ด้วยตัวเอง เขายังเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ...

ซูซานผู้ไม่เคยเกรงกลัวการท้าทายอันใด และไม่ยอมเลิกราอะไรง่าย ๆ ในที่สุดวันที่ซูซานรู้สึกว่าตนเองพร้อมที่จะเดินทางโดยลำพังก็มาถึง...

ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางในเช้าวันจันทร์ เธอได้โอบกอดมาร์กผู้เป็นสามีและเคยเป็นเพื่อนร่วมทางบนรถที่ดีที่สุดของเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้าตาแห่งความตื้นตันในความซื่อสัตย์ ความอดทนและความรักที่สามีมีต่อเธอ จากนั้นเธอกล่าวลา และนั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองแยกกันเดินทางไปทำงาน จากวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส... แต่ละวันดำเนินไปด้วยดี ทว่าลึก ๆ แล้วซูซานไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย เธอเพียงแต่ทำไปตามปกติ เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง...

เช้าวันศุกร์ เธอยังคงขึ้นรถประจำทางไปทำงานเช่นเคย และเมื่อกำลังจะลงจากรถนั้น เธอได้ยินคนขับรถพูดขึ้นมาว่า

“แหม... ผมอิจฉาคุณจัง”

แรกทีเดียวซูซานไม่มั่นใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า...

ก็ใครเล่าจะอิจฉาคนตาบอด ผู้พยายามรวบรวมความกล้าหาญเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามกลับไปว่า....

“ทำไมคุณอิจฉาล่ะ”

คนขับรถตอบว่า “ผมคงรู้สึกดีมาก ๆ หากมีใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องเหมือนอย่างที่คุณได้รับอยู่”

ซูซานไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงถามอีก “คุณหมายความว่าอย่างไรกัน”

คนขับรถตอบว่า...

“คุณรู้ไหมว่าทุก ๆ เช้า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีสุภาพบุรษหน้าตาดีคนหนึ่งในเครื่องแบบทหารยืนตรงหัวมุมถนนคอยเฝ้าดูคุณเวลาคุณก้าวลงจากรถ รอจนมั่นใจว่าคุณได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยแล้วยังคงคอย กระทั่งคุณเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานจนเรียบร้อย จากนั้นก็ส่งจูบและคำนับให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป... นี่ละ.. ผมจึงเห็นว่าคุณเป็นสภาพสตรีที่โชคดีเหลือเกิน”

น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อย ๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มของซูซาน....

แม้ขณะนี้เธอไม่อาจมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตนเองก็จริง แต่เธอสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลาถึงการมีอยู่ของมาร์ก เธอช่างโชคดี... โชคดีมาก ๆ เพราะเขาได้มอบของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่าการมองเห็น...

ของขวัญที่เธอไม่จำเป็นต้องมองเห็น เป็นของขวัญแห่งความรักที่สามารถนำมาซึ่งแสงสว่างไปสู่ทุก ๆ หนแห่งในความมืดมิด...


ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ จาก oknation.net

สถานะ... กูเจ็บ.

โพสต์โดย : สถานีคำคม ~ สถานี คำคม

เพจ ของขวัญที่มองไม่เห็น โพสต์โดย สถานีคำคม เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556