Animated Dragonica Star Glove Pointer

THE LAST SCENE OF LOVE






สายตาเหม่อมองออกนอกหน้าต่างอีกแล้ว
ใบไม้ร่วงหล่นอีกแล้ว
ใจคิดถึงเธออีกแล้ว.
จากกันโดยไม่ได้ร่ำลา
เดินจากมาโดยยังไม่ได้บอกว่า
“พรุ่งนี้เจอกัน”.

ฉากสุดท้ายแจ่มชัด จนน่าเศร้า.

....................................

2 กุมภาพันธ์ วันธรรมดาอีกวันในชีวิตนักเรียนม.ปลาย และเป็นวันสุดท้ายในชีวิตมัธยม

ลูกฟุตบอลกลิ้งมาชนเท้า เรียกความสนใจของผมให้เงยหน้ามอง เด็กชายม.ต้นคนนึงวิ่งมา พลางตะโกนขอบอลคืน ผมเตะบอลให้ไปทั้งๆที่ยังนั่งอยู่

“ไอ้ยักษ์ ไปเหอะ เข้าซะหน่อยเห้ย คาบสุดท้ายที่จะเรียนกับ ‘จารย์แกแล้วนะเห้ย” ไอ้สองเพื่อนซี้เรียกก่อนจะยืนจาคอบให้ผม – ผมรับมา นั่งเหม่อ

“มึงไปก่อนเหอะ เดี๋ยวกูตามไป”

“ไอ้เชี่ย เออๆ” แล้วมันก็วิ่งขึ้นตึกไป

เสียงออดดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เป็นสัญญาณเตือนให้ขึ้นห้อง ผมลุก ไปเข้าคาบเรียนสุดท้ายของวิชาสังคม

ใบไม้สีส้มร่วงหล่นแทบเท้า สายตามองไปยังต้นไม้ต้นเดิมที่ตั้งตระหง่าน เวลาเดิม สถานที่เดิม นึกถึงเรื่องวันวาน

เรื่องเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว...

“ป๊อกเก้าวะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ผมตะโกนลั่นโต๊ะ กับกลุ่มป๊อกเด้งที่พวกเราโดดเรียนวิชาสังคม นั่งเล่นกันใต้ตึก 5 ที่ประจำของแก

“สัดเอ๊ย!! เสียอีกแล้ว เอ้า” เสียงไอ้สองเพื่อนซี้เจ้ามือบ่นอุบก่อนจ่ายเงินให้ ผมยิ้มรับมาอีกห้าสิบ ก่อนจะลุกจากโต๊ะ

“เอ้าเหี้ย เลิกแล้วไง?”

“เออวะ พอละ นานๆเล่นทีเอาแค่นี้ละ”

“แค่นี้พ่อมึงสิ ตั้งสองร้อย มาเล่นให้กูถอนทุนก่อน!!”

“เรื่องเดะ ฮ่าๆๆ” ผมวิ่งหนีไอ้สองที่ไล่จับผม ด้วยดีกรีกัปตันชมรมบาสของผม กับเอสชมรมกรีฑาของมัน ทำให้การไล่จับของเราดูจริงจังมากๆ ผมวิ่งหลบมันอย่างฉิวเฉียด ทำให้ผมสะดุดกับรากไม้ของต้นโพธิ์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางลาน ด้วยความสามารถทางกีฬา ทำให้ผมไม่ล้มทันที แต่ก็ทำให้เสียศูนย์ไปชน “เธอ”

“โอ๊ย!” เธอล้มลง หนังสือตกกระจัดกระจายเต็มพื้น

“เห้ย ขอโทษๆ” ผมรีบประคองเธอขึ้น ก่อนจะช่วยเธอเก็บหนังสือที่กระจัดกระจาย ไอ้สองวิ่งมาหาก่อนจะช่วยกันเก็บหนังสือกองใหญ่

“เป็นอะไรมั้ยคุณหนูห้องสมุด?” ไอ้สองถามไปอย่างสนิทสนม ทำให้ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรคะ คุณนักกรีฑา ขอบคุณมาก เอ่อ...ขอบคุณเธอด้วยนะ เอ่อ...กัปตันชมรมบาส”

“ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ แสดงท่าทีที่ไม่ได้โกรธเคืองอะไรที่ผมวิ่งชนเธอ - แสงแดดสาดลงมาเป็นลำ สะท้อนใบหน้าเรียวงามหลังกรอบแว่น ผมชะงักนิ่ง เธอเดินจากไปพร้อมหนังสือกองโตที่เธออุ้มอยู่ – ใจนึก อยากเข้าไปช่วย

“ยักษ์ เราชื่อ ยักษ์”

“ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ แสดงท่าทีที่ไม่ได้โกรธเคืองอะไรที่ผมวิ่งชนเธอ - แสงแดดสาดลงมาเป็นลำ สะท้อนใบหน้าเรียวงามหลังกรอบแว่น ผมชะงักนิ่ง เธอเดินจากไปพร้อมหนังสือกองโตที่เธออุ้มอยู่ – ใจนึก อยากเข้าไปช่วย

“เห้ยสอง มึงรู้จักเหรอ” ผมถามเพื่อนซี้ขณะที่เราเดินกลับบ้านด้วยกัน

“รู้จักใครวะ” มันย้อนถาม ทำหน้าไม่รู้เรื่อง แต่ยิ้มกวนๆ

“ห่า! มึงก็รู้” ผมหน้าแดง

“ฮ่าๆ คุณหนูห้องสมุดนะเหรอ” มันยิ้ม มองหน้าผม ผมได้แต่หลบตา “หล่อนชื่อ แก้ว”

“ชมรมห้องสมุด” ผมถาม

“ก็ไม่เชิง เธอไม่ได้อยู๋ชมรมเป็นทางการหรอกนะ เพราะเธอขาดเรียนบ่อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เธอจะชอบอยู่ในห้องสมุดนี่ละ” มันตอบ

“รู้จักกันได้ไงวะ”

“บ้านติดกันนะ”

“อ๋ออออออ” ผมลากเสียงยาวเชิงรับรู้ การสนทนาเราจบแค่นั้น ผมเดินยิ้ม แสงแดดสาดส่องสะท้อนใบหน้า ไอ้สองมันคงเห็น มันอมยิ้ม – เราเดินกลับไปกันอย่างเงียบๆ – อย่างรู้ใจ





“ยักษ์ ไอ้ยักษ์!” ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน เมื่อเสียงเรียกของเพื่อนรักกระแทกโสตประสาท “ว้าแล้วกันสิมึง คาบสุดท้ายของอาจารย์สมพรเชียวนะ มึงยังหลับ

“หมดคาบแล้วเหรอ” ผมถาม พลางเช็ดน้ำลายมุมปาก

“เออ เราจะไปไหว้อาจารย์กัน ลุกแหมะเห้ย!” มันตบบ้องหัวผมทีนึง

“มึงไปเหอะ กูจะกลับละ” ผมตอบมัน

“เอาอีกละ เหี้ยนี่” มันเดินมากอดคอผม “ยังนึกถึงแก้วอยู่อีกเหรอวะ”

ผมไม่ตอบ สายตาเหม่อลอยอีกครั้ง

.........................................

“ยืมหนังสือหน่อยครับ” ผมเรียกอาจารย์บรรณารักษ์มาเพื่อยืมหนังสือเตรียมสอบกลับไป มีเสียงกุกกักในห้องพักอาจารย์หลังเคาน์เตอร์ ซักครู่หญิงสาวคนหนึ่งก็ออกมารับ – เธอนั่นเอง

“อ้าว เจอกันอีกแล้วนะ กัปตันชมรมบาส” เธอยิ้มหวาน ก่อนจะรับหนังสือผมไป “ความถนัดทางสถาปัตยกรรม เธอจะสอบเข้าถาปัดเหรอ”

“อืม” ผมรับคำสั้นๆ

“สู้ๆนะ” เธอยิ้มอีกครั้ง – ยิ้มง่ายจังแหะเธอคนนี้ ผมยิ้มตอบ
“อะ นี่จ้ะ”

ผมรับหนังสือมาจากมือเธอ มือเราสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรีบชักมือออก ผมรีบดึงหนังสือกลับ ผมเดิน จะออกจากห้องสมุด เหลือมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงทางออก

เกือบห้าโมงเย็นแล้ว นี่มันก็ใกล้เวลาที่ห้องสมุดจะปิดแล้ว ผมทำใจกล้า ชวนเธอกลับบ้าน

“เอ่อ...แก้ว”

เธอหันมา “หืมมม รู้จักชื่อเราได้ยังไงเนี่ย” เธอถาม

“ไอ้สองบอกนะ”

“อ๋อออ แล้วมีอะไรเหรอ”

“ แก้วกลับบ้านยังไง กลับด้วยกันมั้ย นี่ก็ใกล้เลิกแล้วนี่”

ผมพูดพลางมองดูนาฬิกา เวลานี่ห้องสมุดคนน้อยมาก มีไม่ถึงสิบคน ทำให้ผมกล้าที่จะชวนเธอ

“เอ่อ...เรากลับรถเมล์นะ กลับไปก่อนเถอะ เราต้องเก็บหนังสือเข้าชั้นอีก”

“งั้นเราช่วย”



ทุกวันเวลานี้ มักจะกลายเป็นเวลาที่ผมโปรดปรานมากที่สุด ทุกวันหลังเลิกเรียน ผมมักจะมานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ที่ห้องสมุด ในมุมๆหนึ่งของห้อง มองดูเธออยู่ไกลๆ และเมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น ผมก็จะช่วยเธอจัดหนังสือก่อนจะกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน



ผมเป็นสุขใจ

อยากให้

เวลาหยุดลง.


เหมือนเช่นทุกวัน กิจวัตรเดิมๆก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมมาห้องสมุด นั่งทำข้อสอบ มองดูเธอ รอเธอเลิก ...เช่นเดิม

แดดยามเย็นสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง แสงสีส้มชวนเหงาสร้างบรรยากาศให้รู้สึกหดหู่ แต่ตัวผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ผมกับแก้วกำลังช่วยกันจัดหนังสือเก็บเข้าที่ แดดสีส้มชะโลมเลียใบหน้าเธอยามที่กำลังจริงจังกับการจัดวางหนังสือเข้าที่ มันดูสวยงามยิ่งกว่าภาพถ่ายใดๆ ที่ผมเคยเห็นมา ผมหยิบโทรศัพท์ผมขึ้นมา

แชะ!

เธอหันมามองตามเสียงชัตเตอร์

“ทำอะไรนะ” เธอถามหน้าแดง พยายามจะแย่งโทรศัพท์จากมือผม ผมยื่นหนีแล้วยิ้ม หัวเราะ

“ขอดูก่อนๆๆ” เธอร้อง

“ฮ่าๆ แค่ดูนะ ห้ามลบ”

“ไม่เอาอะ โธ่ยักษ์อ่า”

เธอพยายามคว้าโทรศัพท์จากมือผม ผมชะงัก เธอจับโทรศัพท์ผมได้ ผมจับมือเธอได้ ใบหน้าเราห่างกันเพียงหนึ่งฝ่ามือ เธอหน้าแดงพยายามจะปล่อยมือจากผม ผมรั้งไว้ ดึงเธอมาใกล้ขึ้นอีก...



สัมผัสจากเธอนิ่มนวล

รู้สึกเนิ่นนาน

เวลาเหมือนหยุดนิ่ง .



เธอผละจากผมเหมือนตกใจ

“แก้ว เอ่อ...เราขอโทษ คือ...”

ผมหน้าเสียที่เห็นปฏิกิริยาจากเธอ เธอไม่พูดอะไรวิ่งจากไป น้ำตาไหล... ผมทำอะไรลงไป.


รุ่งขึ้น ผมกลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้ง หวังจะพบเธอเพื่อขอโทษ และบอกความในใจ... แต่เธอไม่อยู่ ผมถามอาจารย์บรรณารักษ์ถึงเธอ

“วันนี้ยังไม่เจอเลยนะจ้ะ มีอะไรรึเปล่าเศรษฐวุฒิ” อาจารย์ถาม “นั่นแน่ ทะเลาะกันเหรอจ้ะ มาง้อแฟนละสิ”

อาจารย์แซวผม

“มะ ไม่ใช่ฮะ เอ่อ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ผมเดินลงมาด้วยใจที่ไม่สงบ ด้วยใจที่คิดถึงอยากเจอเธอ


แสงแดดยามเย็น

ใบไม้พัดโปรยลง

ลมหนาวมาแล้ว.


วันต่อมาผมยังคงมาหาเธอที่ห้องสมุดเหมือนเช่นเคย มาหาทุกวัน แต่ก็ยังคงไร้วี่แววของแก้ว หญิงคนแรกที่เอาหัวใจของผมไป

จนวันนึง วันศุกร์สุดสัปดาห์ ผมนั่งอ่านหนังสือที่ตัวเดิม แดดยามเย็นลอดผ่านกระจกมาสะท้อนใบหน้าหนึ่ง

“แก้ว!”

ผมลุกพรวดไปหาเธอ แต่ว่าหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าผมกลับไม่ใช่แก้ว

“สวัสดีคะ พี่ยักษ์ใช่มั้ยคะ” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามผม

“ใช่ครับ เอ่อ...น้องคือ...”

“หนูชื่อ กิ่งคะ เป็นน้องสาวของพี่แก้ว คือ หนูมีเรื่องต้องบอกพี่คะ”

“ครับ”

“คือ...” น้ำตาเธอไหลรินจากสองดวงตา ผ่านกรอบแว่นตา ผมตกใจ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เธอ “เธอรับไปเช็ดน้ำตา สะอื้นไห้ ก่อนเอ่ยประโยคๆ นึงที่ทำให้หัวใจของผมแหลกสลาย

“พี่แก้ว เสียแล้วคะ”

.

.

.

ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว

น้ำตารินไหล

เหมือนโดนขยี้ใจ.


.........................................


เสียงสวดมนต์ดังกึงก้อง

ท้องฟ้าสดใส

จิตใจสงบ.



วันนี้เป็นวันทำบุญร้อยวันให้กับแก้ว ผมและเพื่อนอีกหลายสิบคนมาช่วยงานบุญ เสียงสวดมนต์ดังกึกก้อง ผมพนมมือ ใจสงบ สายตาจ้องมองไปยังรูปของแก้ว ไม่วางตา ใจยังคงคิดถึง

เมื่อส่งแขกเหรื่อกลับหมด ผมช่วยทางบ้านแก้วเก็บเก้าอี้ เก็บของในงาน ไอ้สองเดินมาหาผม

“เห้ยยักษ์ แม่แก้วเรียกหามึงวะ”

“หืม” ผมแปลกใจ เดินตามไอ้สองไป

“แม่ครับไอ้ยักษ์มาแล้วครับ” ไอ้สองเรียกผู้เป็นแม่ แม่ของแก้วซึ่งตอนนี้นั่งอยู่หน้ารูปของลูกสาวของตนพร้อมกับลูกสาวอีกคนหนึ่ง หยุดบทสนทากับเพื่อนของเธอหันมาทางผม

“ยักษ์จ้ะ” แม่แก้วเรียกผม

“ครับแม่” ผมตอบ

“แม่ดีใจนะลูก ที่เห็นลูกมาช่วยงานของแก้วตั้งแต่วันแรกเลย” แม่ยิ้มให้ผม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” ผมยิ้มตอบ

“ แม่รู้นะลูก ว่าเราคิดอะไรกับลูกสาวแม่นะ” แม่ยิ้มกว้างกว่าเดิม

“อะ อะไรครับแม่...คือ” ผมพูดตะกุกตะกักพยายามปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรหรอก แม่ดีใจนะที่มีคนมาสนใจลูกสาวแม่ เสียดายที่ไม่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แก้วนะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กแล้ว เข้าออกโรงพยาบาลก็บ่อย มีช่วงหลังๆนี่ละ ที่ไปโรงเรียนได้ เห็นแก้วเขาขอไปโรงเรียนทุกวัน แม่ก็แปลกใจว่า เอ๊ะ! อะไรทำให้ลูกสาวแม่ดูสดชื่นได้ขนาดนี้น้อ... ใช่แล้วลูก ไม่ต้องทำหน้างงอย่างนั้น ตั้งแต่วันที่แก้วเขาเจอกับลูกนั่นแหละ แก้วดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากเลยนะ กลับมาทีไรต้องเล่าเรื่องของลูกให้แม่ฟังทุกวัน บอกว่าอยากไปโรงเรียนเพราะลูกนั่นแหละ แม่ก็ดีใจมากๆเลย” แม่เล่าไปยิ้มไป

“แต่ว่า วันนั้นผม...” ผมพยายามพูดแต่ก็โดนแม่ของแก้วชิงพูดก่อน

“จนวันนั้น จู่ๆแก้วก็อาการกำเริบกะทันหันจนต้องเข้าโรงพยาบาลในตอนเช้า แก้วบอกจะขอไปโรงเรียนให้ได้ แต่แม่ไม่อนุญาต เพราะสภาพร่างกายของแก้วตอนนั้นย่ำแย่มาก แม่เพิ่งรู้ว่าแก้วฝืนตัวเองมาตลอดเพื่อที่จะได้ไปโรงเรียน ซึ่งแม่ผิดเองที่ดูไม่ออก แม่แค่ดีใจมากที่เห็นลูกสาวอาการดีขึ้น ทั้งๆที่ไม่ใช่เลย แก้วบอกว่า ไม่อยากให้ลูกต้องมาห้องสมุดแล้วไม่เจอแก้ว ไม่อยากให้ยักษ์กลับบ้านคนเดียว จึงอยากจะมาโรงเรียนให้ได้

วันนั้น แม่จึงบอกกับแก้วว่า งั้นจะให้กิ่งไปอยู่ห้องสมุดแทนแก้ว ก็แล้วกัน แล้วให้แก้วพักรักษาให้หายก่อนเพื่อจะได้ไปหาลูกอีกครั้ง แก้วจึงยอมไปโรงพยาบาลโดยดี”

เมื่อผมได้ยินคำของแม่ ผมได้แต่ตะลึง พยายามจะถามความจริง

“ใช่คะ วันนั้นเป็นกิ่งเอง ไม่ใช่พี่แก้วหรอกคะ”

ความจริงกระจ่างในใจ จูบนั้นไม่ใช่จูบจากแก้วแต่เป็นจากกิ่งน้องสาว

“หนูตกใจมาก แต่ที่หนูตกใจไม่ใช่เพราะพี่จูบหนูหรอกนะคะ แต่ที่หนูตกใจเพราะหนูเผลอใจ ทั้งๆที่หนูพยายามจะไม่คิดอะไรกับพี่แล้ว แต่หนูก็เผลอใจจนได้ หนูรู้สึกผิดที่ทรยศความเชื่อใจพี่แก้วนะคะ” กิ่งร้องไห้อีกแล้ว แม่กอดกิ่งปลอบประโลม ผมได้แต่นั่งนิ่ง พยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ

“อย่าแปลกใจนะลูก บ้านแม่มีกันสามคน มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังกันหมด เรื่องรักๆใคร่ๆ แม่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ถ้ามันไม่ผิดทำนองคลองธรรม แม่ก็สนับสนุน เรื่องของกิ่งแม่ก็รู้มานานแล้ว แล้วแก้วเขาก็รู้ด้วย

วันสุดท้ายของแก้วที่แก้วเขารู้ตัวแล้วว่า เขาคงไม่มีวันได้อยู่เจอหน้ายักษ์อีกแล้ว แก้วเขาฝากจดหมายไว้ให้แม่มอบให้ยักษ์” แม่พูดพลางล้วงหยิบซองจดหมายสีขาวสะอาดยื่นส่งให้ผม หน้าซองจ่าหน้าถึงผม

“แกะอ่านเลยลูก แม่ยังไม่ได้อ่านหรอก”

“ขอบคุณครับ” ผมแกะจดหมาย แปลกทั้งๆที่ใจผมสงบ แต่มือไม้ผมกลับสั่นผมหันหน้ามองไอ้สองอีกครั้ง มันพยักให้กำลังใจผม มันบีบไหล่ผมก่อนที่จะลุกเดินจากไปพร้อมกับแม่ของแก้ว

ในขณะที่กิ่งกำลังจะลุกขึ้น ผมคว้ามือกิ่งไว้

“นั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

กิ่งไม่ตอบคำใด แต่นั่งลงข้างๆเป็นเพื่อนผม

ผมแกะซฮงจดหมายออก ลายมือคุ้นตาของแก้วที่ผมเห็นทุกวันผ่านบัตรหนังสือ ปรากฏอยู่ในกระดาษเอสี่สีขาว ลายมือบรรจงสวยงามเรียงรายและถ่ายทอดถ้อยคำของเจ้าของได้อย่างดี แม้จะมีหวัดบ้างคงเนื่องจากการฝืนตัวอย่างสุดกำลังของเธอเพื่อที่จะเขียนจดหมายนี้ให้ผม



ถึง ยักษ์

ยักษ์ ตั้งแต่วันที่เราเจอกับยักษ์วันนั้น แม้จะเป็นความบังเอิญและค่อนข้างจะเจ็บ แต่เรารู้สึกดีใจมากๆ เลยที่ได้เจอกับยักษ์นะ

เรารักยักษ์ตั้งแต่แรกเห็นเลยนะ และดีใจมากเลยที่ยักษ์มาห้องสมุดทุกวัน เรารู้นะเพื่อมาพบเราใช่มั้ยละ? อิอิ เราดีใจนะ และก็ดีใจมากด้วยที่ยักษ์รอกลับพร้อมกับเรา

ทุกวันเราเฝ้ารอเวลานี้เลยรู้มั้ย? เฝ้ารอที่จะได้เจอกับยักษ์ เจอกับคนที่เรารัก ได้ใช้เวลาด้วยกัน แม้จะสั้นๆแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่มันมีความหมายกับเรามากเลยรู้มั้ย? มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

เราขอโทษนะยักษ์ที่เราไม่เคยบอกยักษ์เลยว่า เราป่วย เราป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวมาตั้งแต่เด็กแล้วละ หมอบอกว่าเราคงอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบปี ตอนแรกเรากลัวมากเลยนะ แต่เพราะกำลังใจจากแม่และกิ่ง ทำให้เราพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและใช้เวลาที่เหลือของเราอย่างมีความสุขที่สุด

เราอยากบอกยักษ์นะว่า ยักษ์ เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา เวลาสั้นๆแค่เพียงสองอาทิตย์ กลับยาวนานเป็นปีๆ เรามีความสุขมากเลย และขอโทษด้วยที่ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับยักษ์ได้ต่อไป

เรารักยักษ์นะ

ขอบคุณสำหรับความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเรา และสุดท้ายนี้เราขอฝากสิ่งสำคัญอีกสองอย่างในชีวิตของเราให้ยักษ์ช่วยดูแลจะได้มั้ย?

เราขอฝากแม่และกิ่งกับยักษ์นะจ้ะ อย่าทำให้กิ่งเสียใจละยักษ์ เรามองดูจากบนฟ้าอยู่นะ

ด้วยรักเสมอไปและตลอดกาล

แก้ว

ปล.จดหมายเล็กๆอีกแผ่นเราฝากให้กิ่งหน่อยนะจ้ะ

ในซองจดหมายทมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ขนาดครึ่งเอสี่อีกหนึ่งแผ่น ผมยื่นให้กิ่งเธอรับมันไปพร้อมกับอ่าน ผมนั่งมองเธอนิ่ง น้ำตากิ่งไหลอีกครั้ง คราวนี้เธอยิ้มทั้งน้ำตา เธอมองหน้าผม

ผมจ้องตากิ่งไม่กระพริบ ผมจับมือกิ่งแน่น เธอบีบมือตอบ ผมไม่จำเป็นต้องอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ข้างในที่แก้วเขียนถึงกิ่ง ผมก็สามารถรับรู้ข้อความภายในนั้นได้ ผ่านสายตาและสัมผัสจากมือเธอ



มันช่างอบอุ่น.



ขอบคุณเรื่องสั้นดีๆ จาก sukkhawadee.exteen.com

สถานะ... กูเจ็บ.


โพสต์โดย : สถานีคำคม ~ สถานี คำคม

เพจ THE LAST SCENE OF LOVE โพสต์โดย สถานีคำคม เมื่อ วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556