ดุ๊บ ดุบ ดุ๊บ ดุบ ดุ๊บ ดุบ ดุ๊บ ดุบ
ดุ๊บ ดุบ... ดุ๊บ ดุบ... ดุ๊บ ดุบ...
ดุ๊บ ดุบ... ดุ๊บ ดุบ...
ดุ๊บ... ดุบ... ดุ๊บ... ดุบ...
เสียงหายใจหอบฮืดฮาดค่อยๆ เบาลงตามจังหวะเต้นของหัวใจ เหงื่อไหลพรูเป็นสายจากขมับซ้ายไต่โหนกแก้มที่ขาวเนียน อุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้นที่ให้ใบหน้าของ “อีแว้ด” แดงเลือดฝาดระเรื่อ หยดเหงื่อร่วงลงจากปลายคางสู่กลางอกอีกทอดหนึ่ง
ติ๋ง... ติ๋ง ...ติ๋ง
เธอยืนทื่อตัวตรงไม่พยายามกระดุกกระดิก แต่จะออกแรงแนบร่างกายให้ชิดติดกับซอกฝาไม้อัดที่กั้นเพิงพักสองหลังออกจากกัน อาการสั่นกลัวของเธอทุเลาเพลาลง แล้วสีหน้าตื่นตระหนก ก็แปรเปลี่ยนเป็นขึ้งโกรธ
เธอโผล่หน้างามแฉล้มออกมาจากซอกที่ซ่อนแวบหนึ่งเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเงียบไปนานพอสมควร เธอโน้มตัวไปข้างหน้า สองมือยันเข่าไว้และใช้ก้นงอนๆ ของเธอดันพิงฝา สถานการณ์คงคลี่คลายแล้ว อีแว้ดจึงออกมาจากที่ซ่อน ขยับเขยื้นตัวอิสระมากขึ้น กระนั้นสายตาของเธอสอดส่องเลิ่กลั่กเพื่อดูให้แต่ใจว่าชายวัยฉกรรจ์สองคนที่วิ่งตามประชิดเธอมาเมื่อกี๊จะไม่แอบซุ่มดักรอเธออยู่ตรงมุมไหนสักแห่ง
อันตรายจริงๆ เกือบพลาดท่าโดนมันจับได้แล้วมั้ยล่ะวันนี้
พอเห็นป้าแก้วเจ้าของร้านขนมปากหม้อหน้าปากซอยปากทางเข้าสลัม เธอก็โบกไม้โบกมือเสมือนเป็นคำถามว่าพวกนั้นไปกันหมดหรือยัง ป้าแก้วเองท่าทางจะเข้าใจภาษามือของเธอดี โบกมือกลับมาเป็นคำตอบว่าปลอดภัยแล้ว อีแว้ดจึงเดินยิ้มร่า สะบัดก้นพึ่บพั่บอย่างมั่นใจได้อีกครั้ง
หลายคนในระแวกนี้ไม่รู้สึกพิศวาสกับท่าทางการเดินที่ยั่วยวนและกวนประสาทของอีแว้ดสักเท่าไหร่ และวันไหนถ้าใครทนไม่ไหวก็ด่ากันไปมาสาดเสียเทเสีย ไม่มีใครยอมใคร
วันนี้ก็เป็นหนังม้วนเก่าที่เอามาฉายใหม่อย่างเคย
“อีนังแว้ด! มึงไปเดินส่ายสะระแต๊ดไกลๆ ตีนกูหน่อยไป๊ หน๊อย........ย เมื่อกี้กูเห็นมึงยังวิ่งหนีเจ้าหนี้ตาแทบเหลือก ลมแทบจับ บางทีขอให้คนอื่นเขาช่วยจนสลัมทั้งแถบโกลาหลกันไปหมด พอรอดมาได้มึงก็ระริกระรี้เป็นกระหรี่... เอ๊อะ กระดี่ได้น้ำ ไม่รู้จักสำนึก...”
“อ้าวๆๆๆๆ......ว อีศพอืด ผัวสยอง ยิ่งกูอารมณ์ไม่ดีอยู่นะเว้ย กูจะเดินท่าไหน ส่ายปอดรึส่ายปีกมดลูกข้างไหนมันก็ของกูเกี่ยวอะไรกับแม่มึงวะ ทางเดินนี่ มึงก็ไม่ได้สร้างมา รึว่าอิจฉากูละเซ่ที่กูมันหุ่นดีมีก้นมีนมกลมกลึง ของมึงมันลูกโป่งหนักน้ำ ย้อยๆ ยานๆ เชอะ!”
เมื่อปะทะคารมกันหอมปากหอมคอแล้วนังแว้ดก็จะเดินกลับบ้านแบบเดือดปุดๆ เพราะแพ้ไม่เป็นท่าและมักโดนเขารุมกันด่า ก็ไม่มีพวกมีพ้องเหมือนกับเขา วันๆ ก็เอาแต่นั่งแต่งตัวกับออกไปทำงานในผับตอนกลางคืนกลับมานอนตอนกลางวัน ไม่ค่อยคบค้าปราศัยกับผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ
อย่างไรเสีย หลายต่อหลายคนในสลัมหนึบเตยแห่งนี้ก็แอบชื่นชมนังแว้ดอยู่ในใจที่แม้จะยากลำบากสักเท่าไหร่มันก็ไม่เคยทอดทิ้งพ่อที่ตาบอดทั้งสองข้างให้ต้องดิ้นรนชีวิตตามลำพัง
“สบายจริงนะเฮีย นั่งยิ้มชีย.. ไม่ต้องออกไปวิ่งโกยอ้าวหนีไอ้ยักษ์ทวงหนี้สองคนนั่น เกิดล้มลงขาหักสักวันแล้วหมาหน้าไหนมันจะหาให้เฮียแด๊กเนี่ย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะหมอดูเคยสั่งชั้นไว้ว่าห้ามทิ้งเฮียนะ ชั้นคงเอาข้าวคลุกยาเบื่อหนูให้เฮียกินไปตั้งนานแล้ว แต่หมอบอกจะมีลาภก้อนเท่าคนมาหล่นทับถ้าชั้นอยู่ดูแลเฮียไปเรื่อยๆ แล้วทำไมมันยังไม่มาสักทีนะไอ้ลาภก้อนนี้ เฮ้อ!”
เข้าบ้านมาอีแว้ดก็เริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้งตามประสาและใช้ภาษาบาปกินหัวที่สร้างความสะเทือนใจพ่อบังเกิดเกล้าได้อย่างไม่ลังเล ผู้เป็นพ่อได้ยินแล้วนั่งกลืนน้ำลายไม่ลงคอ น้ำตาก็เหมือนเหือดแห้งไปหมดแล้ว แต่ความเจ็บมันจุกอยู่ในอกและอยากร้องตะโกนออกมาให้สาใจตัวเอง แต่เขายอมเงียบ ไม่คิดจะแย้งหรือย้อนคำพูดลูกสาวอีกต่อไปแล้ว ทำไปก็เหมือนตำน้ำพริกละลายน้ำครำ นึกโทษตัวเองที่ยังอบรมบ่มสอนลูกสาวคนนี้มาไม่พอ
ชั้นสอนลูกไม่ดีเอง... ชั้นสอนลูกไม่ดีเอง
เขาไม่ได้นึกถึงปัจจัยแวดล้อมเลย ซึ่งมันอาจเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ลูกสาวของเขากลายเป็นคนเช่นนี้ไปก็ได้ ย่านชุมชนแออัดแห่งนี้อันที่จริงมีบุคลิก เช่น มีความเอื้อเฟื้อเล็กน้อยแต่มักจะเห็นแก่ตัวกันมาก มีความรักน้อยแต่ชิงชังมาก มีความเป็นทรพีต่อผู้บังเกิดเกล้า ศีลธรรมถูกบดบังด้วยค่าของเงินและการดิ้นรนถีบตัวเองและถีบผู้อื่นเพื่อที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ความหยาบโลนป่าเถื่อนถูกแสดงออกมาทั้งทางวาจาและอากัปกิริยา
มันเป็นแม่พิมพ์เบ้าใหญ่... คำสอนของเขาเป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ ที่แต่งเติมอยู่บนแม่พิมพ์ เวลาเขาสอนลูกก็เลยไม่ต่างอะไรกับการตะโกนแข่งกับเสียงคนหนึ่งร้อยคน
เราเป็นพ่อ อย่างไรก็รักลูก แต่ถ้าลูกเรามีครอบครัวออกไป แล้วใครจะทนอยู่ทนดูทนฟังมันได้เล่า อย่าให้ชีวิตครอบครัวของลูกช้างต้องล้มเหลวซ้ำรอยลูกช้างเล้ย เจ้าประคู้ณ...
วันหนึ่ง ขณะที่แว้ดกำลังทำงานอยู่ในผับแห่งใหม่ เกิดความชุลมุนวุ่นวายใกล้ๆ เวที เธอยืนอยู่ตรงนั้นก็พอมองเห็นเหตุการณ์ออก กลุ่มผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานกำลังพยายามไล่จับตัวเด็กวัยรุ่นร่างเล็กที่ปราดเปรียวว่องไว ดูไปดูมาเด็กคนนี้ยังไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเรื่องปรกติที่เด็กติดเรตหลุดเข้ามาเต้นยึกยักกะย๊อกกะแย๊ก อีแว้ดก็ไม่เคยเห็นมีใครมาตามจับเหมือนวันนี้
ตำรวจคงล่าเหยื่อคืนนี้ละม้าง
โครม ! ... ตุ๊บ !
“โอ๊ย ๆๆๆ ขาช้าน ไอ้บ้านี่ มึงไม่มีตารึไงวะ โดดลงมาได้ โธ่เว้ย!”
นังแว้ดถูกชายคนหนึ่งในกลุ่มทีมไล่เด็กตกทับใส่หลังจากที่เขาปีนขึ้นลำโพงแล้วมันพังตกลงมา ตัวของชายคนนั้นกระแทกตัวเธออย่างแรงจนเสียการทรงตัวและขาของเธอบิดผิดรูปอย่างกระทันหัน ทำให้เอ็นหัวเข่าเธอฉีกขาดและต้องนำเธอส่งโรงพยาบาลในคืนนั้นโดยที่เธอยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำเธอบาดเจ็บ เพราะหลังจากที่มีคนมาช่วยกันพยุงเธอเข้ารถหรูคันหนึ่งเพื่อนำเธอไปโรงพยาบาล เธอก็ไม่เจอใครอีกเลยนอกจากหมอกับนางพยาบาล
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงของอีกวันหนึ่ง มีหนุ่มรูปงามดูดีมีชาติตระกูลปรี่เข้ามาหาเธอทันที แล้วกล่าวขอโทษเธอที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องบาดเจ็บ อีแว้ดพยายามทบทวนเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่ง พอเริ่มจำอะไรได้มากขึ้นและแน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้ฝัน ก็เริ่มสนทนาตอบ คราวนี้สิ่งที่พ่อของเธอเสี้ยมสอนก็ได้ฤกษ์นำออกมาใช้ คำพูดคำจาและกริยาท่าทางของนังแว้ด หาความสถุนไม่ได้เลย ยิ่งเมื่อเธอได้รู้ว่าหนุ่มโสดผู้นี้เป็นลูกชายคนโตของเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งที่เพิ่งจบมาจากอังกฤษชื่อว่า โดฟาน เธอก็ยิ่งควักวิชามารยาสาไถยระดับร้อยเล่มรถไฟฟ้ามาใช้ได้ไม่มีสิ้นสุดจนผู้แต่งเองยังคิดว่ามันต้องมาจากสัญชาตญาณล้วนๆ ก่อนออกจากโรงพยาบาลเธอได้กระซิบบอกเขาว่า
“คุณเป็น (ลาภก้อนเท่า *silent) คนที่หมอดูคนหนึ่งบอกว่าฉันจะได้พบ คุณเชื่อรึเปล่าคะ ว่าเราถูกลิขิตมาให้คู่กัน”
ผิวพรรณที่ขาวนวลผ่องประกาย ใบหน้าเรียวงามเฉลา ทรวดทรงองค์เอวพริ้วเพรียวและ real (เรียล) เอ็กซ์ ได้เรียกคะแนนความสนใจจากโดฟานอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ต้องทอดสะพาน แต่เมื่อเธอประกาศเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการบอกทางไปหาสะพานให้ข้ามไป
หลังจากนั้นหนุ่มนักเรียนนอกก็เริ่มคบกับสาวนอกโรงเรียนอย่างเปิดเผยท่ามกลางคำวิภากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ ของวงศ์สาคณาญาติและสื่อมวลชน แต่เนื่องจากอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกที่เขาได้รับมา โดฟานจึงไม่แคร์สื่อและไม่หืออือกับญาติพ่อพี่น้องแม่ ปล่อยให้ให้เขาบ่นกับเซ็งแซ่ แล้วสักพักก็จะเหนื่อยกันไปเอง
การพูดจาตรงไปตรงมาและเป็นคนปากว่าตาไม่ขยิบของนังแว้ดเป็นลักษณะนิสัยเด่นที่ไม่เหมือนกับสาวไทยส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะยิ้มต่อหน้านินทาหลับหลัง ทำให้เขาประทับใจพอสมควร ยิ่งพอได้รู้เรื่องที่เธอเลี้ยงดูบิดาผู้ตาบอดเพียงลำพังเขาก็ยิ่งเกิดความเห็นใจ จึงตัดสินใจประกาศหมั้นและแต่งในคราวเดียวกันหลังจากผ่านระยะดูใจได้สามเดือนโดยไม่มีใครคิดขัดขวางอีก
ชื่ออีแว้ดที่ชาวสลัมเรียกกันติดปากถูกเปลี่ยนเป็นคุณวิดารัตน์เมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตของสามี พ่อของเธอก็ได้รับใบบุญเพราะสามีได้ส่งคนไปรับมาเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีในเรือนหลังเล็ก หนี้สินก็ถูกชำระให้เบ็ดเสร็จเพื่อให้เธอออกไปจากชุมชนสลัมแห่งนี้อย่างภาคภูมิ
แต่จนแล้วจนรอดคุณวิดารัตน์ก็เริ่มเหิมเกริมเมื่อตั้งท้องได้สามเดือน เพราะสามีคอยประคบประหงมเอาใจประเคนให้แทบทุกอย่างที่เธอปราถนา ความอยากได้ก็เพิ่มพูน ความเห็นแก่ตัวก็กลบตา ลวดลายดิบๆ ถ้อยคำเถื่อนๆ จึงเผยออกมาให้ตระหนักแก่สายตาและโสตประสาทของผู้เป็นสามี
คุณวิดารัตน์พลิกตาลปัตรกลับมาเป็นอีแว้ดคนเก่า หากไม่ได้ดั่งใจเมื่อไหร่ก็ตีโพยตีพาย ดุด่าและทำร้ายคนรับใช้รอบข้างจนโกลาหลวุ่นวายกันในบ้าน สามีเกิดความเบื่อหน่ายเพราะพูดจาปราศัยกันไม่เคยลงตัวอันเนื่องจากพื้นฐานระดับการศึกษาที่ต่างกันคนละโยชน์-- ป. 6 กับด็อกเตอร์
ช่วงหลังมาเขาจึงไม่ค่อยรีบกลับบ้านหลังจากทำงานเสร็จ เตร็ดเตร่ดื่มเหล้าเมามายไม่ให้ความสนใจภรรยาเหมือนเก่า ยิ่งทำให้อีแว้ดประสาทกินหนัก จนแม่บ้านและคนงานทนทานต่อไปไม่ไหว ลาออกไปหลายคน นานเข้าบ้านจึงดูรก ว่างเปล่า เงียบเฉา พ่อของอีแว้ดรู้สึกโศกเศร้าสลด เสียใจที่เห็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากจะเห็น ตรอมตรมจนตรอมใจตายอยู่ในบ้านหลังเล็กอย่างเดียวดาย ภายในมือกำเศษกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง มีข้อความถึงลูกสาวที่เขารักและห่วงใย
ลูกรัก พ่อขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลลูกอีกต่อไป
(นังแว้ดคิดในใจ : ใครเป็นคนดูแลใครกันแน่วะ)
พ่ออยากฝากข้อเตือนใจไว้ให้เรื่องหนึ่ง มันเป็นสิ่งสุดท้ายจากพ่อ ขอให้ลูกเอาไปคิดให้ดี
ลูกพ่อ ค่าของคนไม่ใช่การตะโกนปาวๆ บอกคนอื่นว่าเรามีค่า หรือการเหยียบย่ำให้คนอื่นตกต่ำเพื่อสร้างคุณค่าให้ตนเอง แต่คุณค่า ของคนเราจะเกิดขึ้นเมื่อเราให้คุณค่าแก่คนอื่นก่อน แล้วเราก็จะมีค่าในสายตาของเขาหลายคน
พ่อต้องขอโทษลูกอีกเรื่องหนึ่ง หมอดูคนนั้นพ่อเป็นคนจ่ายให้เขามาโกหกลูกเองเพื่อให้ลูกอยู่ดูแลพ่อ และลูกก็ได้ให้คุณค่ากับพ่อ หลายคนจึงเห็นคุณค่าในตัวลูก รวมทั้งสามีของลูกก็เช่นกัน
น้ำคลอนัยย์ตาของอีแว้ดแล้วหยดแหมะ... และไหลรินออกมาอย่างกับน้ำป่าไหลหลาก เธอไม่รู้เลยว่ามันเป็นเพราะเธอรู้สึกเศร้าเสียใจที่พ่อตัวเองตาย หรือรู้สึกผิดต่อพ่อ หรือรู้สึกเจ็บใจที่โดนพ่อหลอกใช้กันแน่ รู้แค่ว่าอยากร้องไห้และขอคร่ำครวญอยู่อย่างนั้น คนเดียวลำพัง
งานศพพ่อผ่านไปสองสามวันอีแว้ดก็รู้สึกเจ็บท้องเหมือนจะคลอดทั้งที่เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะครบกำหนด สามีเธอจึงรี่กลับมารับเธอไปส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อรู้เรื่อง หมอวินิจฉัยแลว้เล่าขานให้อีแว้ดฟัง
“คนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่จะได้อยู่ต่อ คุณแม่ต้องเลือกครับ”
อีแว้ดได้ฟังแล้วใจหายวาบ เธออึ้ง นอนอยู่บนเตียงมองเพดานสายตานิ่ง น้ำตารินล้นออกทางหางตา แต่เหมือนเธอไม่รู้ตัว เธอพยักหน้ากับหมอแล้วตอบกลับไป
“ลูกค่ะ เก็บลูกไว้ค่ะ”
“แน่ใจนะครับ เพราะคุณอาจมีโอกาสมีลูกได้อีกในอนาคต”
“ดิฉัน...แน่ใจค่ะ เพราะสักวันหนึ่งเขาจะได้รู้ว่าตัวเขามีค่าสำหรับดิฉันแค่ไหน”
พยาบาลผู้ช่วยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แอบหลบร่ำไห้สะอื้น หมอนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เธอเซ็นต์รับรองเพื่อการผ่าตัดสำหรับวันรุ่งขึ้น เธอขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าลูกเธอจะปลอดภัยไม่แพร่งพรายให้สามีรู้แม้แต่นิดเดียว
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ชื่ออีแว้ดก็สิ้นตาม แต่ความยิ่งใหญ่ในความเป็นแม่ก็เกิดดังโครมครามในหัวใจของหลายๆ ต่อหลายคน สามีของเธอน้ำตาคลอเบ้าเมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด รู้สึกภูมิใจในตัวภรรยา คละเคล้ากับความเสียใจที่เธอด่วนจากเขาไป สุขใจที่ได้ชื่นชมชีวิตใหม่จากสายเลือดเขาออกมาลืมตาดูโลก ทารกน้อยช่างบริสุทธิ์และมีคุณค่า
คุณค่าที่แม่ของเขาได้มอบไว้ให้ แม่ที่ไร้ความเป็นผู้ดี แม่ที่เคยเป็นลูกทรพี แม่ที่มักทำลายคุณค่าของตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอ แม่ที่เพิ่งได้รู้จักคุณค่าของคนที่เป็นพ่อแม่ แม่อย่างเธอ... กลับแสดงความเป็นแม่ได้อย่างไร้ที่ติ เธอได้ให้คุณค่าแก่ผู้อื่นแล้วครั้งหนึ่ง และให้ด้วยชีวิตเธอ
ผู้เป็นแม่คน
ขอบคุณเรื่อง(ไม่)สั้นดีๆ จาก Zone-it.com
สถานะ.... กูเจ็บ.